Page 201 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 201
๑๘๔
ปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดมีจ านวนคดี
สูงมาก “อย่างผิดปกติ” เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของสองปีก่อนและหลัง และมีจ านวน
ผู้เสียชีวิตสูงถึง ๒,๘๐๐ รายเศษ นอกจากนี้ ผู้เสียหายหลายรายยังถูกยึดทรัพย์สินของตนไปทั้งหมด
ญาติของผู้เสียหายส่วนใหญ่จึงได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้สืบสวนหาตัวผู้กระท า
ความผิดมาลงโทษ แม้จะปรากฏว่าในเรื่องร้องเรียนบางเรื่องญาติของผู้เสียหายบางรายก็มิได้แจ้งความ
ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน โดยเฉพาะชาวเขากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล เนื่องจาก
มีปัญหาในการสื่อสารภาษาไทย ไม่มีความรู้ว่าควรจะกระท าอย่างไรต่อไป หรือเนื่องจากหวาดกลัว
ต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของตนเองและครอบครัว ในขณะที่ญาติของผู้เสียหายบางรายได้
มีการฟ้องร้องเป็นคดีอาญาต่อศาล
ในส่วนที่เกี่ยวกับการท าการสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวนเพื่อหา
ตัวผู้กระท าความผิดมาลงโทษนั้น เป็นที่สังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนจากเรื่องร้องเรียนแทบทุกกรณีว่า
การสืบสวนสอบสวนของพนักงานสอบสวน “ไม่มีความคืบหน้า” ของคดีแม้แต่น้อย สาเหตุส าคัญประการ
หนึ่ง ได้แก่ การไม่สามารถตรวจพบพยานหลักฐานที่จะเป็นเบาะแสให้สามารถหาตัวบุคคลผู้กระท า
ความผิดอาญา และบุคคลที่อยู่เบื้องหลังการกระท าความผิดอาญาดังกล่าวแต่อย่างใด ด้วยเหตุที่
การกระท าให้เกิดการสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นการกระท าอย่างเป็นระบบและ
เป็นขั้นเป็นตอนตามแผนการด าเนินการดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น การด าเนินการจึงเป็นไปอย่างรอบคอบ
รัดกุม กอปรกับการใช้ความรุนแรงในการประทุษร้ายบุคคลที่เป็นเป้าหมายของการด าเนินการหรือ
ผู้เสียหายโดยใช้ก าลังและโดยใช้อาวุธ ตลอดจนการข่มขู่บุคคลอื่นที่รู้เห็นเหตุการณ์ให้เกิดความหวาดกลัว
ด้วยเหตุนี้ ในการกระท าการสังหารหรือฆาตกรรมผู้เสียหาย บุคคลหรือกลุ่มบุคคลจึงใส่หมวกคลุมศีรษะ
และอ าพรางใบหน้าในขณะกระท าการ ท าให้ไม่มีบุคคลใดเห็นและจดจ าใบหน้าของบุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ผู้ลงมือยิงผู้เสียหาย หรือการใช้บุคคลแปลกหน้าที่มิได้อาศัยอยู่ในชุมชนเดียวกันกับผู้เสียหายเป็นผู้กระท า
การ ท าให้ไม่มีบุคคลใดรู้จักหรือคุ้นหน้าคุ้นตาผู้กระท าความผิด หรือการเก็บหรือการท าให้สูญหายไป
ซึ่งหลักฐานส าคัญของผู้เสียหายที่อาจเป็นวัตถุพยานในที่เกิด เช่น โทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย เพื่อเก็บ
หรือท าลายแถบบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้เสียหายและบุคคลที่อยู่ปลายทางก่อนการเกิด
เหตุ ในทางตรงกันข้าม บุคคลหรือกลุ่มบุคคลเหล่านี้จะน าสิ่งของบางอย่างมาไว้ในยานพาหนะหรือ
เคหสถานของผู้เสียหาย (แล้วแต่กรณีว่าการสังหารหรือการฆาตกรรมเกิดขึ้น ณ สถานที่ใด) และสิ่งของนั้น
มักจะเป็นหลักฐานส าคัญที่แสดงถึงการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดของผู้เสียหาย โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งยาเสพติดจ านวนหนึ่ง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ต ารวจมาตรวจพบในขณะที่ตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ และ
เพื่อสามารถแสดงต่อญาติของผู้เสียหายและบุคคลทั่วไปว่าผู้เสียหายเกี่ยวข้องกับยาเสพติด (ทั้งๆ ที่
ผู้เสียหายในเรื่องร้องเรียนจ านวนมากไม่เคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อนแต่อย่างใด) ในส่วนที่
เกี่ยวกับพยานบุคคลในที่เกิดเหตุ ในทางปฏิบัติ ไม่มีบุคคลใดในชุมชนที่จะกล้าให้ข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลหรือ
กลุ่มบุคคคลที่ยิงผู้เสียหายหรือท าให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายแต่อย่างใด ด้วยความหวาดกลัวและ
วิตกกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของตนและของบุคคลในครอบครัว
นอกจากนี้ ยังปรากฏด้วยว่าเจ้าพนักงานสอบสวนละเลยและละเว้นต่อการ
ติดตามสืบสวนคดีอันเกิดจากการกระท าความผิดที่เกิดขึ้นจากการด าเนินนโยบายของรัฐบาลในการ
ประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด ดังจะเห็นได้ว่าญาติหรือครอบครัวของผู้เสียหาย
ในหลายคดีไม่เคยได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนเพื่อให้ไปให้การหรือให้ข้อมูลเพื่อประโยชน์