Page 152 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 152

๑๓๕




                                                   ๓๒๗
                   ไม่ถูกปล่อยไปโดยมิได้รับการลงโทษ”  อย่างไรก็ตาม ธรรมนูญแห่งกรุงโรมฯ ก็ได้ก าหนด “ข้อยกเว้น
                   ความรับผิดทางอาญา” (Grounds for excluding criminal responsibility) ไว้บางประการเช่นกัน

                                         ดังนั้น ในส่วนนี้จะได้กล่าวถึง (๒.๒.๑) การเสนอเรื่องอาชญากรรมต่อ
                   มนุษยชาติเป็นคดีต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ และ (๒.๒.๒) ข้อยกเว้นความรับผิดทางอาญา

                                          (๒.๒.๑) กำรเสนอเรื่องอำชญำกรรมต่อมนุษยชำติเป็นคดีต่อศำลอำญำ
                   ระหว่ำงประเทศ (International Criminal Court - ICC)

                                         อาชญากรรมต่อมนุษยชาติเป็นการกระท าความผิดอาญาร้ายแรงระหว่าง
                   ประเทศฐานความผิดหนึ่งที่อยู่ในเขตอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) อย่างไรก็ตาม ธรรมนูญ
                   กรุงโรมฯ ก็ได้ก าหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับอ านาจในการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศไว้เป็นการ

                   เฉพาะโดยชัดแจ้ง กล่าวอีกนัยหนึ่ง การเสนอเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเป็นคดีต่อศาลอาญาระหว่าง
                   ประเทศจะกระท าได้จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขเกี่ยวกับขอบอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศตามที่
                   ก าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ ซึ่งประกอบด้วยเงื่อนไขส าคัญสองลักษณะ ได้แก่ ก. เงื่อนไขเชิงรูปแบบ:
                   เงื่อนไขเกี่ยวกับความผูกพันตามข้อก าหนดของธรรมนูญ กรุงโรมฯ  และ ข. เงื่อนไขเชิงเนื้อหา: เงื่อนไข

                   เกี่ยวกับการกระท าอันเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
                                         ก. เงื่อนไขเชิงรูปแบบ:  เงื่อนไขเกี่ยวกับควำมผูกพันตำมข้อก ำหนดของ
                   ธรรมนูญกรุงโรมฯ
                                         การเสนอเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเป็นคดีเพื่อให้ศาลอาญาระหว่าง

                   ประเทศพิจารณา  อยู่ภายใต้เงื่อนไขเชิงรูปแบบเกี่ยวกับความผูกพันของรัฐตามข้อก าหนดต่างๆ
                   ในธรรมนูญกรุงโรมฯ อันจะท าให้ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลใช้บังคับกับรัฐและรัฐนั้นยอมรับเขตอ านาจของ
                   ศาลอาญาระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ความผูกพันของรัฐต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ และการยอมรับเขตอ านาจศาล
                   อาญาระหว่างประเทศของรัฐเกิดขึ้นได้ในสองกรณี ได้แก่ ก.๑) หลักความผูกพันของรัฐต่อธรรมนุญ

                   กรุงโรมฯ: การเข้าเป็นภาคีหรือให้สัตยาบัน และ ก.๒) ข้อยกเว้นความผูกพันของรัฐต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ :
                   การยอมรับเขตอ านาจศาลอาญาระหว่างประเทศ
                                         ก.๑) หลักควำมผูกพันของรัฐต่อธรรมนุญกรุงโรมฯ: กำรเข้ำเป็นภำคีหรือให้

                   สัตยำบัน
                                         ตามหลักความผูกพันของรัฐต่อสนธิสัญญาดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น รัฐจะมีความ
                   ผูกพันตามสนธิสัญญาก็ต่อเมื่อรัฐได้แสดงเจตจ านงชั้นสุดท้ายว่าจะผูกพันตามข้อก าหนดต่างๆ ใน
                   สนธิสัญญา กล่าวคือ การให้สัตยาบันหรือการให้ความยินยอมหรือความเห็นชอบที่จะเข้าผูกพัน
                               ๓๒๘
                   ต่อสนธิสัญญา  ซึ่งย่อมมีผลเท่ากับรัฐนั้นได้เข้าเป็นภาคีในสนธิสัญญานั้น และผูกพันรัฐในอันที่จะต้อง
                                                                              ๓๒๙
                   ปฏิบัติตามข้อก าหนดต่างๆ ในสนธิสัญญานั้นโดยสุจริต (in good faith)
                                         ดังนั้น โดยผลของการให้สัตยาบันและการเข้าเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมฯ รัฐได้
                   ยอมรับเขตอ านาจศาลอาญาระหว่างประเทศส าหรับอาชญากรรมที่ร้ายแรงต่างๆ ตามที่ก าหนดไว้ใน



                          ๓๒๗
                              ความตอนหนึ่งในอารัมภบท (Preamble) ของธรรมนูญกรุงโรมฯ
                          ๓๒๘
                              Vienna Convention on the law of treaties, Article 11, MEANS OF EXPRESSING CONSENT
                   TO BE BOUND BY A TREATY.
                          ๓๒๙
                              Vienna Convention on the law of treaties, Article 26, “PACTA SUNT SERVANDA”.
   147   148   149   150   151   152   153   154   155   156   157