Page 150 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 150

๑๓๓




                   เสียหายอย่างรุนแรงและกว้างขวาง และระดับที่สอง การรู้ว่าการกระท าต่างๆ ของเจ้าหน้าที่ของตนเป็น
                   ส่วนหนึ่งของการโจมตีหรือการประทุษร้ายเช่นนั้น โดยนัยดังกล่าว การรู้ถึงการโจมตีหรือการประทุษร้าย

                   ต่อประชากรพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบจึงเป็นเงื่อนไขหรือ “องค์ประกอบด้านจิตใจที่เพิ่มเติม
                                                          ๓๑๘
                   ขึ้น” (an  additional  mental  element)  ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเจตนาทั่วไป (general
                   rea) ในการกระท าความผิดอาญาต่างๆ นั้น เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา การข่มขืนกระท าช าเราโดย
                   เจตนา การบังคับบุคคลให้สูญหายโดยเจตนา ดังที่ก าหนดไว้ในข้อ ๓๐ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ
                                         ตัวอย่างเช่น ศาลสูงสุดในประเทศแคนาดาเคยวางหลักเรื่ององค์ประกอบ

                   เกี่ยวกับเจตนา (mental element) ไว้ในคดี Regina v. Finta (๑๙๙๔) โดยศาลกล่าวว่า องค์ประกอบ
                   เรื่องเจตนาที่จะน าไปสู่ความรับผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจะต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระท าความผิด
                   ได้รู้ถึงข้อเท็จจริงหรือสภาวการณ์อันน าไปสู่การกระท าความผิดตามองค์ประกอบของความรับผิด
                                              ๓๑๙
                   ฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ  ซึ่งการวางหลักของศาลสูงสุดแคนาดาคดีนี้ได้ถูกน าไปกล่าวอ้างอิง
                                                ๓๒๐
                   อีกครั้งในคดี Tadić โดยศาล ICTY
                                         ในปีค.ศ. ๒๐๐๑ ศาล ICTY  ได้วางหลักไว้ในคดี The  Prosecutor  v.  Dario
                   Kordić and Mario Čerkez (๒๐๐๑) ว่า ผู้กระท าความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต้องเข้าใจถึง

                   บริบทแวดล้อมทั้งหมดของการกระท าของตน (understand the overall context of his act) กล่าวคือ
                   ผู้กระท าความผิดต้องรู้ว่าการกระท าของตนเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบต่อ
                                                                                   ๓๒๑
                   ประชากรที่เป็นพลเรือน ซึ่งเกิดขึ้นจากการด าเนินงานตามนโยบายหรือแผนนั้น
                                         กรณีจึงกล่าวได้ว่า ผู้กระท าความผิดต้องรู้ว่าการกระท าของตนได้ก่อให้เกิดการ

                   โจมตีอย่างกว้างขวางต่อประชากรที่เป็นพลเรือน และรู้ว่าการกระท าของตนเป็นส่วนหนึ่งของ
                           ๓๒๒
                   การโจมตี  อย่างไรก็ตาม การพิสูจน์ถึงการรู้ของผู้กระท าความผิดนั้นไม่จ าเป็นต้องพิสูจน์ไปถึงขนาดว่า
                   ผู้กระท าความผิดได้รู้ถึงลักษณะของการโจมตีทั้งหมด (all  characteristics  of  the  attack)
                   หรือรายละเอียดของแผนหรือนโยบายของรัฐหรือองค์การ (the  precise  details  of  the  plan  or
                                                                  ๓๒๓
                   policy of the State or organization) ด้วยแต่อย่างใด


                          ๓๑๘
                              โปรดดู Kai Ambos, อ้างแล้ว, p. 288.
                          ๓๑๙
                              Regina v. Finta, [1994] 1 S.C.R. 701, 819. Darryl Robinson, in “Defining “Crime Against
                   Humanity” at the Rome Conference,” The American Journal of International Law, Vol. 93, No. 1 (Jan.,
                   1999), p. 51.
                          ๓๒๐  Prosecutor v. Tadic, Opinion and Judgment, No. IT-94-1-T, para. 658-59, (May 7, 1997), 36
                   ILM at 946.
                          ๓๒๑
                              The Prosecutor v. Dario Kordić and Mario Čerkez (Trial Chamber Judgment) IT-95-14/2 (26
                   February 2001), para. 185.
                          ๓๒๒  For a comparable approach, see ICTY, Prosecutor v. Kunarac et al, Case No. IT-96-23 & IT-
                   96-23/1-A, (Appeals Chamber Judgment), 12 June 2002, para. 102; S. R. Lee, The International Criminal
                   Court, The Making of the Rome Statute, Issues, Negotiations, Results, (Kluwer Law International, 1999),
                   p. 98, FN 55; G. Werle, Principles of International Criminal Law, Part Four: Crimes Against Humanity,
                   (TMC Asser Press, 2005), p. 231, para. 669.
                          ๓๒๓
                              Pre-Trial Chamber I, The Prosecutor v. Jean-Pierre Bemba Gombo, (Judgment of 15 June
                   2009), ICC-01/05-01/08,  paras 87-88,  in  International  Criminal  Court,  “SITUATION  IN  THE CENTRAL
   145   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155