Page 148 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 148
๑๓๑
๓๑๑
ด้วยหรือไม่ ดังนั้น หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าการโจมตีต่อประชากรที่เป็นพลเรือน เป็นการโจมตีที่
เกิดขึ้นในวงกว้าง ศาลก็จะจ ากัดอ านาจในการตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้เฉพาะกรณีนี้เพียงกรณีเดียวเท่านั้น
ดังจะเห็นว่าหากตีความให้การโจมตีหรือการประทุษร้ายต่อประชากร
พลเรือนต้องเข้าองค์ประกอบทั้งสองประการ (conjunctive) คือ เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นในวงกว้าง
(widespread) และกระท าอย่างเป็นระบบ (systematic) ย่อมเป็นการตีความกฎหมายที่จ ากัดขอบเขต
มากจนเกินไป ในขณะเดียวกัน หากตีความการโจมตีหรือการประทุษร้ายว่าต้องเป็นไปตามองค์ประกอบ
อย่างใดอย่างหนึ่งเพียงประการเดียว (disjunctive) ก็อาจเป็นการตีความแบบขยายขอบเขตมากจนเกินไป
ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงบัญญัติไว้ในลักษณะแบบเปิดทางเลือก (disjunctive) โดยก าหนดให้การโจมตีนั้น
ต้องมีที่มาจากการก าหนดนโยบายจากผู้มีอ านาจ (authority) ซึ่งการก าหนดเช่นนี้ย่อมมีส่วนส าคัญในการ
บรรเทาความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นจากการตีความแบบเปิดทางเลือกซึ่งท าให้การตีความถูกจ ากัดให้แคบ
๓๑๒
ลงได้นั่นเอง ตัวอย่างเช่น การกระท าอันเป็นการรังควาน (prosecution) ที่จะถือเป็นอาชญากรรมต่อ
มนุษยชาติ ต้องเป็นการกระท าอันมีลักษณะเป็นการโจมตีโดยตรงต่อประชากรที่เป็นพล ซึ่งมีความ
เกี่ยวข้องกับการกระท าที่หลากหลาย (multiple acts) และเป็นการกระท าตามนโยบายของรัฐ (policy
element) และการโจมตีนั้นต้องเกิดขึ้นในวงกว้างหรือกระท าอย่างเป็นระบบ (widespread or
systematic) ซึ่งหากอัยการ (prosecutor) เลือกที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบแต่เฉพาะเรื่อง
“เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นในวงกว้าง (widespread)” เพียงอย่างเดียว การพิสูจน์องค์ประกอบเรื่อง
“เป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ (systematic)” ย่อมไม่มีความจ าเป็นต้องกล่าวถึง ทั้งนี้ เพราะมี
องค์ประกอบเรื่องนโยบาย (policy element) เป็นข้อพิสูจน์เพื่อถ่วงดุลน้ าหนักความน่าเชื่ออยู่แล้ว
ในทางกลับกัน หากอัยการประสงค์จะพิสูจน์ให้เห็นองค์ประกอบว่า “เป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ”
(systematic) แต่เพียงอย่างเดียว การพิสูจน์องค์ประกอบว่า “เป็นการโจมตีอย่างกว้างขวาง”
(widespread) ย่อมไม่จ าเป็นต้องกล่าวถึงเช่นกัน ทั้งนี้ เพราะองค์ประกอบเรื่อง “ประชากร”
(population) จะแสดงถึงขนาด (element of scale) ของความเสียหาย และความหลากหลายของการ
๓๑๓
กระท า (course of conduct) ที่เกิดขึ้นอยู่ในตัวแล้วนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ผู้วิจัยมีข้อสังเกตว่าโดยนัยดังกล่าว แม้ถ้อยค าดังที่ปรากฏ
ในข้อ ๗ วรรคหนึ่ง ของธรรมนูญกรุงโรมฯ จะใช้ถ้อยค าว่า “การโจมตีในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ”
(a widespread or systematic attack) แต่เมื่อพิจารณาเนื้อหาขององค์ประกอบส่วนนี้ดังที่ได้กล่าวแล้ว
ข้างต้น ย่อมจะท าให้เห็นว่าการโจมตีหรือการประทุษร้ายเช่นนั้นจะต้องมีลักษณะทั้งในวงกว้างและอย่าง
เป็นระบบ “ประกอบกัน” ด้วยนั่นเอง
๓๑๑ Pre-Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-01/04-01/07-717, para. 412; see also ICTY,
Prosecutor v Kunarac et al, Case No. IT-96-23 & IT-96-23/1-A, "Appeals Chamber Judgment", 12 June
2002, para. 93.
๓๑๒
Darryl Robinson, “Defining “Crime Against Humanity” at the Rome Conference,” The
American Journal of International Law, Vol. 93, No. 1 (Jan., 1999), p. 51.
๓๑๓
Darryl Robinson, “Defining “Crime Against Humanity” at the Rome Conference,” The American
Journal of International Law, Vol. 93, No. 1 (Jan., 1999), p. 48.