Page 155 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 155

๑๓๘




                                             ๓๔๓
                   ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลบังคับใช้  ซึ่งได้แก่วันแรกของเดือนถัดจากวันที่หกสิบหลังจากวันที่ยื่นสัตยาบัน
                   สาร สารให้ความยอมรับ สารให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติสารฉบับที่หกสิบต่อเลขาธิการ
                               ๓๔๔
                   สหประชาชาติ  ส าหรับรัฐแต่ละรัฐที่ให้สัตยาบัน ให้ความยอมรับ ให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติต่อ
                   ธรรมนูญศาลฯ นี้ หลังจากการมอบสัตยาบันสาร สารให้ความยอมรับ สารให้ความเห็นชอบหรือ
                   ภาคยานุวัติสารฉบับที่หกสิบแล้ว ให้ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลบังคับใช้ในวันแรกของเดือนถัดจากวันที่
                   หกสิบหลังจากการยื่นสัตยาบัน สารให้ความยอมรับสารให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติสารโดยรัฐ
                          ๓๔๕
                   ดังกล่าว
                                         อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่รัฐเข้าเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมฯ ภายหลังจากที่
                   ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศจะใช้เขตอ านาจของตนเฉพาะกับ
                   อาชญากรรมที่กระท าขึ้นหลังจากที่ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลใช้บังคับกับรัฐนั้น เว้นแต่รัฐนั้นจะยอมรับ

                   การใช้อ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศส าหรับอาชญากรรมที่เป็นปัญหา (การยอมรับอ านาจศาล
                           ๓๔๖
                   เฉพาะคดี)
                                         ข.๒) เงื่อนไขเกี่ยวกับผู้กระท ำควำมผิดอำญำร้ำยแรง
                                         การกระท าอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรืออาชญากรรมในลักษณะอื่นที่
                                                                                                       ๓๔๗
                   อยู่ในเขตอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ จะต้องกระท าขึ้นโดย “บุคคลธรรมดา” เท่านั้น
                   ทั้งนี้ บุคคลธรรมดาที่ก่ออาชญากรรมที่อยู่ในเขตอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องรับผิดชอบ
                   การกระท าของตนและต้องรับโทษ (individually responsible and liable for punishment) ตามที่
                                              ๓๔๘
                   ก าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ  ทั้งนี้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะได้กระท าความผิดอาญาร้ายแรงเช่นนั้นใน
                   ลักษณะใดๆ กล่าวคือ เป็นผู้กระท าความผิดนั้นแต่โดยล าพัง (as  an  individual) หรือร่วมกับบุคคลอื่น
                   (jointly with another person) หรือกระท าผ่านบุคคลอื่น (through another person)  เป็นผู้สั่งการ
                   ขอร้องหรือชักจูงให้มีการประกอบอาชญากรรมซึ่งได้กระท าลงแล้วหรือถึงขั้นพยายามกระท าความผิดแล้ว
                   เป็นผู้ให้การสนับสนุน ยุยง หรือให้ความช่วยเหลือใดๆ เพื่ออ านวยความสะดวกแก่การกระท าความผิด
                                                           ๓๔๙
                   เช่นนั้น หรือมีส่วนในการก่ออาชญากรรมเช่นนั้น
                                         อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวจะต้องรับผิดและรับโทษ
                   ก็เฉพาะแต่ในกรณีที่บุคคลนั้นได้กระท าการอันเป็นองค์ประกอบส าคัญของความผิดโดย “มีเจตนาและ
                     ๓๕๐
                   รู้”  ปัญหาที่จะต้องพิจารณา คือ อย่างไรจึงจะถือว่ามีเจตนา อย่างไรจึงจะถือว่ารู้




                          ๓๔๓  Rome Statute, Article 11 Jurisdiction ratione temporis, paragraph 1.
                                “1. The Court has jurisdiction only with respect to crimes committed after the entry into
                   force of this Statute.”.
                          ๓๔๔
                              Rome Statute, Article 126 Entry into force, paragraph 1.
                          ๓๔๕  Rome Statute, Article 126 Entry into force, paragraph 2.
                          ๓๔๖  Rome Statute, Article 11 Jurisdiction ratione temporis, paragraph 2.
                          ๓๔๗  Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 1.
                                 “1. The Court shall have jurisdiction over natural persons pursuant to this Statute.”.
                          ๓๔๘
                              Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 2.
                          ๓๔๙
                              Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 3.
                          ๓๕๐  Rome Statute, Article 30 Mental element, paragraph 1.
   150   151   152   153   154   155   156   157   158   159   160