Page 135 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 135

๑๑๘




                                         คดี Barbie ในชั้นศำลอุทธรณ์
                                         ศาลอุทธรณ์แห่งเมืองลียง (Lyon Court of Appeal) ได้แยกลักษณะความผิด

                   ที่กระท าต่อกลุ่มสู้รบแบบกองโจร  (crime against resistance fighters) ออกจากการกระท าความผิด
                   ต่อพลเรือนชาวยิว (crime against Jews) ซึ่งการที่ศาลอุทธรณ์ได้แบ่งแยกลักษณะความผิดดังกล่าวออก
                   จากกัน ท าให้เกิดการก าหนดลักษณะความผิดที่แบ่งออกได้เป็น ๒  ฐานอย่างชัดเจน โดยศาลเห็นว่า
                   ความผิดที่กระท าต่อผู้ท าการสู้เพื่อต่อต้าน  (crime  against  resistance  fighters) คือ อาชญากรรม
                   สงคราม (war  crimes)  ในขณะที่การกระท าความผิดต่อพลเรือนชาวยิว (crime  against  Jews) คือ
                                                                         ๒๕๒
                   อาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ (crimes  against  humanity)  โดยศาลได้อาศัยหลักการแบ่งกลุ่ม
                   ระหว่างผู้บริสุทธิ์ (innocent) ที่ไม่มีความผิด (inoffensive) ออกจากกลุ่มผู้ที่ไม่บริสุทธิ์ (non-innocent)
                   ที่ได้กระท าความผิด (offensive)    ด้วยเหตุนี้ ศาลอุทธรณ์ฝรั่งเศสจึงแบ่งแยกผู้ท าการต่อสู้เพื่อต่อต้าน

                   (resistance fighters) ออกจากกลุ่มพลเรือนซึ่งเป็นชาวยิว (Jews) โดยศาลเห็นว่าชาวยิวซึ่งเป็นสมาชิกใน
                   กลุ่มผู้ท าการต่อสู้เพื่อต่อต้าน คือชาวยิวที่ไม่บริสุทธิ์ (non-innocent Jews) กรณีจึงไม่อยู่ในขอบเขตของ
                   ความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (crimes against humanity) ซึ่งเป็นกระท าความผิดต่อพลเรือน
                                                               ๒๕๓
                   ชาวยิว (crime against Jews) ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์นั่นเอง
                                         คดี Barbie ในชั้นศำลฎีกำ
                                         ต่อมา การวางหลักของศาลอุทธรณ์ในเรื่องนี้ได้ถูกยกเลิกโดยค าพิพากษาของ
                   ศาลฎีกา (Cour de  cassation)  ฉบับลงวันที่ ๒๐  ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๘๕ ซึ่งศาลฎีกาได้ตัดสิน
                   ว่าความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (crime  against  humanity)  รวมถึงการกระท าความผิดต่อ
                                                                                   ๒๕๔
                   บุคคลท าการต่อสู้เพื่อต่อต้าน  (crime  against  resistance  fighters) ด้วย  โดยศาลฎีกาฝรั่งเศสได้
                   ตีความขยายขอบเขตความผิดฐานอาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ (crime  against  humanity)
                   ให้ครอบคลุมถึงพลเมืองของรัฐทุกคน (civilians)  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะจัดตั้งกองก าลังขึ้นเพื่อต่อต้าน






                   สืบราชการลับเพื่อต่อต้านโซเวียต (anti-Soviet intelligence) ในปี ค.ศ. 1951 Barbie ได้อพยพไปยังประเทศโบลีเวีย
                   (Bolivia) โดยใช้ชื่อว่า Klaus Altmann และได้รับสัญชาติโบลิเวียในปี ค.ศ. 1957 ต่อมา Barbie ได้ถูกพบตัวโดย Serge
                   และ Beate Klarsfeld และได้ถูกส่งตัวกลับมาในฐานะเป็นผู้ร้ายข้ามแดน (was extradited) มายังประเทศฝรั่งเศสในปี
                   ค.ศ. 1971 หลังจากนั้น เขาจึงถูกไต่สวนในศาลฝรั่งเศสโดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 จนกระทั่งวันที่ 4
                   กรกฎาคม ค.ศ. 1987  ศาลฝรั่งเศสจึงได้ตัดสินลงโทษจ าคุกตลอดชีวิต (life  imprisonment) และต่อมา Barbie  ได้
                   เสียชีวิตในเรือนจ าในวันที่ 25  กันยายน ค.ศ. 1991  อ้างใน Caroline  Fournet,  Genocide  and  Crimes  against
                   humanity : Misconceptions and confusion in French law and practice, (Oxford and Portland ,Oregon :
                   Hart Publishing), 2013, p. 11.
                   โปรดดู Barbie (Klaus) case, Fédération Nationale des Déportés et Internés Résistants et Patriotes et
                   Autres v Klaus Barbie, Cass. Crim. 6 octobre 1983 [1984], RGDIP 88; Barbie (Klaus) case, Fédération
                   Nationale des Déportés et Internés Résistants et Patriotes et Autres v Klaus Barbie, Cass. Crim. 20
                   december 1985 [1986], RGDIP 90 and [1986] ILR 78.
                          ๒๕๒
                              Caroline Fournet, อ้างแล้ว, p. 12.
                          ๒๕๓
                              Caroline Fournet, เพิ่งอ้าง.
                          ๒๕๔
                              Caroline Fournet, อ้างแล้ว, p. 13.
   130   131   132   133   134   135   136   137   138   139   140