Page 134 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 134

๑๑๗




                                         อาชญากรรมต่อมนุษยชาติจะต้องเป็นการโจมตีหรือการประทุษร้ายโดยตรงต่อ
                   ประชากรที่เป็นพลเรือน ประเด็นส าคัญที่ต้องพิจารณาในเบื้องต้น คือ ค าว่า “พลเรือน” (civilian) หรือ

                   “ประชากรพลเรือน” (civilian  population) นั้นมีความหมายและมีขอบเขตแค่ไหนเพียงไร ในที่นี้
                   สามารถแยกพิจารณาได้เป็นสามประเด็น ดังนี้
                                         ประเด็นที่หนึ่ง ค าว่า “พลเรือน” ในที่นี้หมายความรวมถึงกลุ่มผู้ต่อสู้หรือผู้ท า
                   การรบ (combattants) ด้วยหรือไม่
                                         ธรรมนูญกรุงโรมฯ มิได้ก าหนดนิยามของถ้อยค าดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน

                   อย่างไรก็ดี จากการตีความของศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจส าหรับอดีตยูโกสลาเวีย
                   (The International Criminal Tribunal for the former Yugoslavia : ICTY) และศาลอาญาระหว่าง
                                                                                                       ๒๔๙
                   ประเทศเฉพาะกิจส าหรับระวันดา (The International Criminal Tribunal for Rwanda : ICTR)

                   จะพบว่าศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจเหล่านี้ได้เคยให้ค านิยามของค าว่า “พลเรือน” (civilian)
                   ไว้ในคดีต่างๆ ว่าหมายถึงพลเรือนทุกคนซึ่งเป็นเป้าหมายของการโจมตี ซึ่งในที่นี้ย่อมหมายความรวมถึง
                                                       ๒๕๐
                   กลุ่มผู้ต่อสู้หรือผู้ท าการรบ (combattants)  ด้วย
                                         จากการศึกษาแนวทางในการให้ค านิยามของค าว่า “พลเรือน” (civilian)  ของ

                   ศาล ICTY  และศาล ICTR  พบว่าศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจทั้งสองแห่งได้รับอิทธิพล
                   มาจากการวางหลักกฎหมายของศาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสฝรั่งเศสในคดี Barbie  โดยนัยดังกล่าว
                   จึงขอน าเสนอแนวค าพิพากษาของศาลแห่งสาธารณรัฐฝรั่งเศสในคดี Barbie  และค าพิพากษาของศาล
                   อาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจทั้งสองแห่งนั้นตามล าดับ ดังนี้
                                                                                                   ๒๕๑
                                         (๑) ค ำพิพำกษำคดี Barbie ของศำลแห่งสำธำรณรัฐฝรั่งเศสฝรั่งเศส



                          ๒๔๙
                              ศาลอาญาระหว่างประเทศเหล่านี้เป็นศาลเฉพาะกิจ (an adhoc court) ศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะ
                   กิจส าหรับอดีตยูโกสลาเวียจัดตั้งขึ้นตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United  Nations  Security
                   Council) ที่ ๘๒๗ (Resolution 827) เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๑๙๙๓ เพื่อพิจารณาและตัดสินการกระท าความผิด
                   อาญาร้ายแรง (serious crimes) ในระหว่างสงครามในอดีตยูโกสลาเวีย และศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจส าหรับ
                   ระวันดา จัดตั้งขึ้นตามมติคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United  Nations  Security  Council) ที่ ๙๕๕
                   (Resolution 955) เมื่อเดือนพฤศจิกายน ๑๙๙๔ เพื่อพิจารณาหาผู้รับผิดชอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวระวันดาและการ
                   กระท าการฝ่าฝืนอย่างร้ายแรงต่อกฎหมายระหว่างประเทศในระวันดา
                          ๒๕๐
                              The Prosecutor v. Jean-Palu Akayesu (Trial chamber Judgment) ICTR-96-4-T (2 September
                   1998) paras 569-576, in Caroline Fournet, Genocide and Crimes against humanity : Misconceptions and

                   confusion in French law and practice, (Oxford and Portland ,Oregon : Hart Publishing), 2013, p. 18.
                          ๒๕๑
                                 Klaus  Barbie  ได้ถูกพิจารณาคดีในสาธารณรัฐฝรั่งเศสในหลายข้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับอาชญากรรมต่อ
                   มนุษยชาติ ขณะด ารงต าแหน่งผู้น าเกสตาโป (Gestapo  chief) กรณีสั่งกวาดล้างและกระท าการทรมานและฆ่าชาว
                   ฝรั่งเศสผู้ร่วมขบวนการต่อต้านเยอรมนี (French  Résistance  fighters) และทรมานผู้น าขบวนการต่อต้านเยอรมนี
                   (Jean  Moulin) จนถึงแก่ความตาย อีกทั้งสั่งเนรเทศชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว (French  Jews) หลายพันคน รวมทั้งเด็ก
                   ก าพร้าชาวฝรั่งเศสเชื้อสายยิว (orphaned Jewish children) จ านวนหลายพันคนไปยังเมือง Auschwitz ตลอดจนใน
                   ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยความพยายามของการไต่สวน Klaus Barbie ในศาลฝรั่งเศสเริ่มเกิดขึ้นครั้งแรกในปี
                   ค.ศ. 1952 และอีกครั้งในปี ค.ศ. 1954 โดยศาลฝรั่งเศสมีค าตัดสินลงโทษประหารชีวิตเขาเนื่องจากมีการฆ่าประชาชนไป
                   กว่า 4,000 คนและมีการเนรเทศชาวยิวกว่า 7,000 คนไปอยู่ในที่ค่ายกักกัน ต่อมา Barbie ได้มีการหลบหนีโทษดังกล่าว
                   ไปกว่า 40  ปี โดยได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับชาวอเมริกัน ผู้ซึ่งขอให้เขาช่วยเหลือในการ
   129   130   131   132   133   134   135   136   137   138   139