Page 132 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 132
๑๑๕
ร้ายแรงหรือบาดเจ็บอย่างสาหัสต่อร่างกายหรือต่อสุขภาพจิตหรือสุขภาพกาย เช่น การท าร้ายร่างกาย
อย่างสาหัสร้ายแรง การบังคับท าหมัน การบังคับให้เปลือยกาย การประทุษร้ายต่อศพ
กลุ่มที่สอง การกระท าความผิดอาญาร้ายแรงฐานข่มเหงรังควาน
หรือกลั่นแกล้ง (Crime of persecution type) อันได้แก่ การท าการข่มเหงรังควานหรือกลั่นแกล้ง
อย่างใดๆ โดยมีสาเหตุเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว หรือเหตุทางการเมือง เช่น การเนรเทศ
หรือบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐาน การกระท าอันเป็นการเหยียดผิว การห้ามหรือจ ากัดสิทธิการศึกษา
ต่อประชากรพลเรือนบางกลุ่ม การห้ามการประกอบอาชีพ การใช้วิทยุชุมชน เพื่อปลูกฝัง
ความเกลียดชัง (Hate Speech) หรือกรณีเหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเผาบ้านเรือนของชนเผ่าตุสซี
๒๔๕
(Tutsi) ในประเทศรวันดา ในปี ค.ศ. ๑๙๙๔ ทั้งนี้ อาชญากรรมในกลุ่มที่สองนี้จะต้องอาศัยเงื่อนไข
เกี่ยวกับการแบ่งแยกด้านเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว หรือการเมือง เป็นองค์ประกอบของการกระท าความผิด
ด้วย ดังที่ก าหนดไว้โดยชัดแจ้งในข้อ ๗ วรรคหนึ่ง (ช) ความว่า “การรังควาน (Persecution) กลุ่มหรือหมู่
คณะใดโดยเฉพาะ อันเนื่องมาจากสาเหตุทางการเมือง เชื้อชาติ ชนชาติ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา
เพศ ตามที่นิยามไว้ในวรรค ๓ หรือสาเหตุอื่นซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสากลว่าไม่สามารถกระท าได้ตาม
๒๔๖
กฎหมายระหว่างประเทศ” ซึ่งแตกต่างไปจากอาชญากรรมในกลุ่มที่หนึ่งที่ไม่ต้องการเงื่อนไขประการ
๒๔๗
นี้เป็นองค์ประกอบความผิดแต่อย่างใด
โดยนัยดังกล่าว การกระท าที่เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามนัยแห่ง
ข้อ ๗ วรรคหนึ่ง จะต้องเป็นการกระท าความผิดในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังที่ก าหนดไว้นั้น
“เป็นพื้นฐาน” เสียก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นการกระท าความผิดที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความปลอดภัย
หรือความมั่นคงในชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขอนามัยของบุคคล อีกทั้งการกระท าความผิดอันเป็นพื้นฐาน
ดังกล่าวจะต้องครบองค์ประกอบความผิดในตัวเองของความผิดอาญาสามัญทั่วไปแล้ว เช่น ความผิดฐาน
ฆ่าคนตายโดยเจตนา ข่มขืนกระท าช าเรา หรือท าร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรืออย่างร้ายแรง
ทั้งนี้ ข้อ ๗ วรรคสองแห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ ได้ก าหนด “นิยาม” หรือความหมายของการกระท าความผิด
ในแต่ลักษณะดังกล่าวข้างต้นไว้โดยชัดแจ้งด้วยแล้ว อย่างไรก็ตาม การกระท าความผิดเช่นนั้นจะเข้าข่าย
เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติได้ยังจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบภายในอันเป็นองค์ประกอบเชิง
เนื้อหา “เพิ่มเติมต่อยอด” ขึ้นอีกด้วย
๒๔๕
โปรดดู http://www.unitedhumanrights.org/genocide/genocide_in_rwanda.htm (สืบค้นเมื่อ
วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗);
๒๔๖
พิจารณาประกอบนิยามของค าว่า “การรังควาน” (“Persecution”) ตามที่ก าหนดไว้ในข้อ ๗
วรรคสอง (ช) ซึ่งหมายความว่า “การลิดรอนสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานโดยเจตนาและรุนแรง โดยขัดกับกฎหมายระหว่าง
ประเทศ ด้วยเหตุผลของความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มหรือของหมู่คณะ” (“the intentional and severe
deprivation of fundamental rights contrary to international law by reason of the identity of the
group or collectivity”).
๒๔๗
ความเห็นในแนวทางเดียวกัน โปรดดู พันต ารวจตรีกฤษฎิ์ สถิตย์วัฒนานนท์, อ้างแล้ว, หน้า 9.