Page 128 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 128

๑๑๑




                   ที่กระทบต่อ “กฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศ” และสิทธิมนุษยชน (International  humanitarian
                   law and human rights) ประเทศไทยได้ลงนามรับรองธรรมนูญแห่งกรุงโรมฯ แล้วเมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม

                   ค.ศ. ๒๐๐๐ (พ.ศ. ๒๕๔๓) หากแต่ยังมิได้ให้สัตยาบันธรรมนูญดังกล่าวจนกระทั่งในปัจจุบัน
                                         ความผิดอาญาร้ายแรงระหว่างประเทศที่อยู่ภายใต้เขตอ านาจของศาลอาญา
                                                                    ๒๔๐
                   ระหว่างประเทศดังที่ก าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ  ประกอบด้วยความผิดอาญาร้ายแรง
                   สี่ลักษณะ ได้แก่ อาชญากรรมอันเป็นการท าลายล้างเผ่าพันธุ์  (Crime  of  genocide)  อาชญากรรม
                   ต่อมนุษยชาติ (Crimes against humanity) อาชญากรรมสงคราม (War crimes) และอาชญากรรมอัน

                   เป็นการรุกราน (Crime of aggression)
                                         ในส่วนที่เกี่ยวกับอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ข้อที่จะต้องพิจารณาในที่นี้ ได้แก่
                   (๒.๑.) ลักษณะ และองค์ประกอบความผิดของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และ (๒.๒)

                   การเสนอเรื่องอาชญากรรมต่อมนุษยชาติสู่การพิจารณาของศาลอาญาระหว่างประเทศ

                                         ( ๒ . ๑ ) ลักษณะ และองค์ประกอบควำมผิดของอำชญำกรรม

                   ต่อมนุษยชำติ
                                         ธรรมนูญกรุงโรมฯ ได้ก าหนดนิยามของอาชญากรรมร้ายแรงทั้งสี่ลักษณะ
                   ที่อยู่ภายใต้เขตอ านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศไว้โดยชัดแจ้ง ในส่วนที่เกี่ยวกับอาชญากรรม
                   ต่อมนุษยชาตินั้น ธรรมนูญกรุงโรมฯ ก็ได้ก าหนดนิยามของ “Crime of humanity” หรือ“อาชญากรรม

                   ต่อมนุษยชาติ” ไว้เป็นการเฉพาะ ในข้อ ๗ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ และนิยามของอาชญากรรมต่อ
                   มนุษยชาติดังกล่าวท าให้สามารถพิจารณาถึงองค์ประกอบความผิดของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติได้อย่าง
                   ชัดแจ้ง
                                         ดังนั้น สิ่งที่จึงจะพึงต้องพิจารณาในเบื้องต้นย่อมได้แก่ (๒.๑.๑) ลักษณะของ

                   อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ และ (๒.๑.๒) องค์ประกอบความผิดของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ
                                         (๒.๑.๑) ลักษณะของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ





                   ระบบ การกระท าอ้นไร้มนุษยธรรมที่เกิดขึ้นเป็นเอกเทศอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหรือเป็น
                   อาชญากรรมสงครามได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ในทางตรงกันข้าม
                   ปัจเจกชนอาจมีความผิดก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ แม้เพียงได้กระท าความผิดฐานหนึ่งหรือสองฐานความผิด (ดังที่
                   ก าหนดไว้ในข้อ ๗ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ) หรือได้กระท าความผิดเช่นนั้นฐานความผิดหนึ่งต่อพลเรือนจ านวนหนึ่ง เมื่อ
                   การกระท าความผิดนั้นๆ เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการด าเนินการอันมิชอบของกลุ่มบุคคลหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับ
                   ผู้กระท าความผิดนั้น (เช่น เนื่องจากบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นผูกพันในการปฏิบัติการที่มีอาวุธในฝ่ายเดียวกัน หรือ
                   เนื่องจากบุคคลเหล่านั้นเป็นฝ่ายต่างๆ ของแผนการด าเนินการร่วมกันหรือเพื่อเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน ผลที่ตามมา ก็คือ
                   ในกรณีที่ปัจเจกชนคนหนึ่งหรือมากกว่านั้นไม่ถูกกล่าวหาว่าวางนโยบายหรือด าเนินการตามนโยบายที่ไร้มนุษยธรรม
                   หากแต่เพียงการกระท าความผิดที่รุนแรงเป็นการเฉพาะ การจะพิจารณาว่ากรณีดังกล่าวเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อ
                   มนุษยชาติหรือไม่ อาจใช้เกณฑ์ในการพิจารณาดังนี้ ควรดูการกระท าอันโหดร้ายเหล่านั้นประกอบกับบริบทแวดล้อมด้วย
                   และตรวจสอบว่าการกระท าเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโดยรวมหรือแผนการด าเนินการอันไร้มนุษยธรรมหรือไม่
                   หรือในทางตรงกันข้าม การกระท าเหล่านั้นเป็นการกระท าที่ป่าเถื่อนหรือไร้ความปราณีที่เป็นเอกเทศหรือเป็นครั้งคราว
                   หรือไม่” โปรดดู http://en.wikipedia.org/wiki/Crimes_against_humanity
                          ๒๔๐
                              Rome Statute, Article 5 Crimes within jurisdiction of the Court, paragraph 1.
   123   124   125   126   127   128   129   130   131   132   133