Page 67 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 67

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ





                       ข้อถกเถียงว่า สิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชนหรือไม่นั้น ในการพิจารณาจะแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ

          ฝ่ายที่เห็นด้วยว่าสิทธิมนุษยชนเป็นสิทธิมนุษยชนโดยเอกเทศ  ซึ่งได้แก่  กลุ่มประเทศก�าลังพัฒนาแถบทวีปแอฟริกาและ
          อเมริกาใต้ที่มุ่งประสงค์คุ้มครองสิทธิในสิ่งแวดล้อม  ฝ่ายนี้จะเห็นว่า  สิ่งแวดล้อมหรือทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่ที่ยังคง

          อุดมสมบูรณ์อยู่ในประเทศก�าลังพัฒนามากกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว  ดังนั้น  เพื่อมิให้ประเทศพัฒนาแล้วมาถือโอกาส
          ใช้สอยทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้ให้หมดไปจึงสมควรดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมโดยการสถาปนาสิทธิ
          ในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิมนุษยชนเพื่อใช้อ้างกับประเทศพัฒนาแล้วในการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม รวมทั้งเรียกร้องให้คุ้มครอง

          สิทธิในสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกับสิทธิในการพัฒนาที่ประเทศพัฒนาแล้วจะต้องช่วยเหลือรับผิดชอบการพัฒนาของประเทศ
          ก�าลังพัฒนาด้วย แต่ความเห็นของฝ่ายสนับสนุนนี้ยังคงมีน�้าหนักน้อยในแง่ของแนวคิดทางกฎหมาย ส่วนฝ่ายที่เห็นว่าสิทธิ
          ในสิ่งแวดล้อมมิใช่สิทธิมนุษยชนซึ่งข้อถกเถียงส่วนใหญ่จะคล้ายกับข้อถกเถียงที่เกี่ยวกับสิทธิของปัจเจกบุคคล (Individual

          Rights) หรือสิทธิของกลุ่ม Collective Rights ฝ่ายนี้จะน�าหลักกฎหมายที่มีอยู่ในอดีตมาอ้างซึ่งมีหลักฐานค่อนข้างชัดเจน
          เพื่อยังมิให้สิทธิในสิ่งแวดล้อมกลายเป็นสิทธิมนุษยชนที่นานาประเทศจะต้องให้ความเคารพ ซึ่งดูเหมือนว่า สิทธิมนุษยชน
          ในสิ่งแวดล้อมจะได้รับการยอมรับในสังคมระหว่างประเทศหรือไม่ จะกลายเป็นเรื่องของผลประโยชน์ของแต่ละประเทศ

          เสียมากกว่าหลักการที่ส�าคัญ



               ๒.๒.๒ สิทธิในสิ่งแวดล้อมในฐานะสิทธิร่วมกันของประชาชน (Collective Rights) หรือเป็นเพียง
          สิทธิเชิงปัจเจกบุคคล (Individual Rights)
                       ในระยะเริ่มแรกของการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน นักสิทธิมนุษยชนให้ความส�าคัญกับศักดิ์ศรีความเป็น

          มนุษย์อันพึงมีพึงได้ตั้งแต่เมื่อเกิดขึ้นมาซึ่งถือว่าเป็นสิทธิของปัจเจกบุคคล (Individual Rights) เพียงคนเดียวหรือ
                                                68
          การละเมิดสิทธินั้นส่งผลต่อบุคคลเพียงคนเดียว  เช่น การเลือกปฏิบัติต่อเชื้อชาติ เพศ อายุ ศาสนา ภาษา สถานการณ์
          แต่งงาน เหล่านี้จะเป็นเพียงการละเมิดต่อสิทธิของมนุษย์ผู้นั้นเพียงคนเดียว นักวิชาการเรียกว่า ลัทธิปัจเจกชนนิยม
          (Individualism) กล่าวคือ สิทธิมนุษยชนต้องมาจากสิทธิของปัจเจกบุคคลซึ่งติดตัวมากับมนุษย์ทุกคน มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นหลัง
          จากที่มนุษย์ผู้นั้นได้เกิดขึ้นมาและเข้าไปอยู่ในสังคมใดสังคมหนึ่ง  ปัจเจกบุคคลเท่านั้นที่จะเป็นผู้ถือสิทธิ  กลุ่มหรือสมาคม

          ที่ปัจเจกบุคคลเข้าไปอยู่ร่วมด้วยไม่อาจเป็นผู้ถือสิทธิมนุษยชนได้ เพราะสิทธิมนุษยชนมาจาก “ศีลธรรม” ของมนุษย์ซึ่ง
                                                                69
          ติดตัวมาแต่เกิด สังคมมนุษย์ไม่อาจถือสิทธิเหนือตัวปัจเจกบุคคลได้
                       ในระยะต่อมาเริ่มมีการรับรองและคุ้มครองสิทธิทางเศรษฐกิจ (Economic) สังคม (Social) และวัฒนธรรม

          (Culture) เกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรับรองกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ในปี
          ๑๙๖๖ (International Covenant on Economic, Social and Cultural Rights) ปรากฏในมาตรา ๑ ซึ่งใช้ค�าว่า
          “All  peoples  have  the  right  of  self-determination...”  จึงมีนักกฎหมายตีความค�าว่า  “All  Peoples”  ว่า

          หมายถึง “กลุ่มบุคคล” เนื่องจากเมื่อพิจารณาตราสารระหว่างประเทศในอดีตที่ผ่านมา หากตราสารมุ่งคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
          อย่างใด ๆ มักจะใช้ค�าว่า “Everyone” เช่น มาตรา ๓ ของปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนใช้ค�าว่า “Everyone

          has the right to life...” หรือมาตรา ๘ ใช้ค�าว่า “Everyone has the right to an effective remedy...” ซึ่งค�าว่า
          Everyone ในภาษาอังกฤษเป็นเอกพจน์ใช้กับคน ๆ เดียว ขณะที่ Peoples เป็นพหูพจน์ใช้กับหลาย ๆ คนหรือกลุ่มคน




                 68   From Collective Rights by Douglas Sander 1991, Human Rights Quarterly, 13, pp 368
                 69   From The Virtue of Selfishness (p 92) by Ayn Rand, 1963 U.S.A.: SIGNET Retrieved from http://marsexxx.com/
          ycnex/Ayn_Rand-The_Virtue_of_Selfishness.pdf

                                                           66
   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71   72