Page 72 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 72
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
(๑) ลักษณะของสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญนั้นมักรวมเอาสิทธิมนุษยชนเข้าไปด้วย ถือว่าเป็นสิทธิ
ขั้นพื้นฐานของประชาชนภายในประเทศว่าควรได้รับสิทธิใดบ้าง ในบางทฤษฎีถือว่าสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานไม่อาจมี
ตัวบทรัฐธรรมนูญฉบับใด ๆ มายกเลิกเพิกถอนสิทธิดังกล่าวออกไปได้ และไม่มีความจ�าเป็นต้องบัญญัติไว้ในตัวบท
รัฐธรรมนูญทั้งหมด เนื่องจากเป็นสิ่งที่เป็นพื้นฐานที่รัฐจ�าเป็นต้องคุ้มครอง และถือว่าสิทธิและเสรีภาพเหล่านั้นได้รับการ
รับรองท�านองเดียวกันกับจารีตประเพณีในรัฐธรรมนูญ หากประเทศไทยจะรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน
ตามรัฐธรรมนูญจ�าเป็นต้องระบุให้ชัดเจน เนื่องจากหากไม่ระบุให้ชัดเจนอาจกลายเป็นเพียงสิทธิทางกฎหมายรัฐธรรมนูญ
ที่อาจถูกยกเลิกเพิกถอนโดยตัวบทรัฐธรรมนูญที่ออกมาแก้ไขในภายหลังได้
(๒) ลักษณะของสิทธิทางกฎหมาย (Legal Rights) ตามรัฐธรรมนูญนั้น มักจะมีลักษณะเป็นสิทธิที่
รัฐธรรมนูญรับรองไว้เป็นการเฉพาะ ไม่ใช่สิทธิมนุษยชนหรือสิทธิขั้นพื้นฐาน และสิทธินี้อาจยกเลิกเพิกถอนได้โดยตัวบท
รัฐธรรมนูญที่ออกมาแก้ไขเพิ่มเติมในภายหลัง ความมุ่งหมายของการรับรองสิทธินี้ไว้ในรัฐธรรมนูญก็เพื่อมิให้รัฐออก
กฎหมายมายกเลิกเพิกถอนสิทธิ หรือละเมิดสิทธินั่นเอง แต่มิได้มีความประสงค์จะให้สิทธินี้เป็นสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น
เอกสิทธิของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) หรือสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในสมัยประชุมรัฐสภา หรือสิทธิในการได้รับการ
ศึกษาถึงขั้นปริญญาเอกโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นต้น หากประเทศไทยรับรองสิทธิในสิ่งแวดล้อมเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
ในลักษณะนี้ย่อมหมายความว่าสิทธินี้สามารถยกเลิกเพิกถอนได้ในภายหลังด้วย
ดังนั้น การวิเคราะห์ว่าสิทธิต่าง ๆ ที่ปรากฏอยู่ในตัวบทรัฐธรรมนูญนั้นเป็นสิทธิมนุษยชนหรือสิทธิตาม
รัฐธรรมนูญส�าหรับประเทศที่มีองค์กรที่ท�าหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจึงเป็นสิ่งที่มีความส�าคัญอย่างมาก เนื่องจาก
องค์กรที่ท�าหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนจะต้องคุ้มครองเฉพาะสิทธิที่เป็นสิทธิมนุษยชนอันเป็นสากลและมีค่า
บังคับเทียบเท่ากฎหมายรัฐธรรมนูญเท่านั้น หากองค์กรดังกล่าวน�าสิทธิที่ปรากฏอยู่ในรัฐธรรมนูญแต่มิใช่สิทธิมนุษยชน
มาคุ้มครองประชาชนด้วยก็เท่ากับว่า องค์กรนั้นท�าหน้าที่เกินขอบอ�านาจที่กฎหมายบัญญัติไว้
๒.๒.๔ กลุ่มคนหรือชุมชนกับการเป็นผู้ทรงสิทธิมนุษยชน: กรณีของสิทธิชุมชน
แต่เดิมนักวิชาการเห็นว่าสิทธิมนุษยชน เป็นสิทธิของปัจเจกบุคคลแต่ละคนที่มีมาตั้งแต่เกิด มนุษย์ทุกคน
เมื่อเกิดมาแล้วย่อมถือว่าต้องได้รับความคุ้มครองจากรัฐทุกรัฐในโลกเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิในชีวิต สิทธิใน
ร่างกาย สิทธิในทรัพย์สิน เสรีภาพในการแสดงออก การเคลื่อนไหว การไม่เลือกปฏิบัติด้านเชื้อชาติ สีผิว เป็นต้น จะเห็นว่า
สิทธิหรือเสรีภาพเหล่านี้เป็นสิทธิที่มนุษย์แต่ละคนมีสิทธิอ้างเพื่อใช้ยันกับรัฐให้คุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของตนได้เมื่อ
ถูกละเมิดสิทธิ
ในเวลาต่อมาจึงมีการน�าแนวคิดของสิทธิเชิงกลุ่มที่ปรากฏอยู่ในมาตรา ๑ ของกติการะหว่างประเทศว่าด้วย
สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมในปี ๑๙๖๖ ไปใช้คุ้มครองชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม (Indigenous Peoples’ Rights)
และเมื่อสิทธิในช่วงที่สามได้มีการกล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการพัฒนา สิทธิในสันติภาพ ซึ่งเป็นสิทธิร่วมกัน (Collective
Rights) หรือแนวคิด Solidarity Rights เกิดขึ้นมา ท�าให้สิทธิชุมชน (Community Rights) ได้รับการพัฒนาขึ้นมาเช่นกัน
ล่าสุดในปี ค.ศ. ๒๐๐๗ องค์การสหประชาชาติได้จัดให้มีการประชุมรับรองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิของ
ชนพื้นเมืองขึ้น โดยมี ๑๔๓ ประเทศลงคะแนนให้การรับรองปฏิญญาฉบับนี้ โดยปฏิญญาฉบับนี้สร้างความชัดเจนถึงสิทธิ
ของชนพื้นเมืองมากยิ่งขึ้น มีทั้งสิทธิที่เป็นสิทธิเชิงกลุ่ม (Collective Rights) และสิทธิเชิงปัจเจก (Individual Rights) ที่
กล่าวไว้ในปฏิญญาฉบับนี้
71