Page 220 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 220
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทยมีอ�านาจหน้าที่ในลักษณะกึ่งตุลาการ หรือ Quasi-
Judicial Function กล่าวคือ มีอ�านาจตรวจสอบการกระท�าหรือการละเลยการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
และเสนอมาตรการการแก้ไขที่เหมาะสมต่อบุคคลหรือหน่วยงานที่กระท�าหรือละเลยการกระท�าดังกล่าวเพื่อด�าเนินการ
การรับข้อร้องเรียนจากประชาชนหรือภาคเอกชนแล้วพิจารณาข้อเท็จจริง และจัดท�าข้อเสนอแนะต่อบุคคลหรือหน่วยงาน
ผู้ละเมิดสิทธิ ว่าบุคคลหรือหน่วยงานดังกล่าวควรต้องแก้ไขหรือเยียวยาปัญหาการละเมิดสิทธิดังกล่าวอย่างไร อ�านาจและ
บทบาทเช่นนี้มีความคล้ายคลึงใกล้เคียงกับอ�านาจตุลาการ เพียงแต่กระบวนการเป็นไปในลักษณะที่มีความยืดหยุ่นคล่องตัว
กว่า และข้อเสนอแนะของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติไม่มีผลผูกพันในลักษณะเช่นเดียวกันกับค�าพิพากษาของศาล
ลักษณะเช่นนี้จึงท�าให้คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทยมีอ�านาจหน้าที่ในลักษณะกึ่งตุลาการ
หรือ Quasi-Judicial Function อย่างไรก็ดี เนื่องจาก Quasi-Judicial Function มีขอบเขตที่กว้าง คณะกรรมการ
สิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทยแม้จะมีอ�านาจหน้าที่ในลักษณะกึ่งตุลาการ แต่ยังไม่ได้มีอ�านาจถึงระดับชี้ขาด
ข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีได้เองโดยตรง แต่จะใช้วิธีท�าความเห็นส่งไปศาลที่มีเขตอ�านาจในกรณีดังกล่าวแทน
ทั้งนี้ ในการวิเคราะห์บทบาทขององค์กรสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยโดยเปรียบเทียบกับบทบาทของ
องค์กรระหว่างประเทศระดับภูมิภาคที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมนั้น จ�าต้องตระหนักว่า กลไก
ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนดังกล่าวอยู่ในระดับที่แตกต่างกัน กล่าวคือ องค์กรสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยเป็นกลไก
ในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนภายในประเทศ ในขณะที่องค์กรระหว่างประเทศที่ได้ศึกษาในบทข้างต้นของรายงานวิจัยนี้
ได้แก่ องค์กรทางสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคยุโรป ภูมิภาคอเมริกา และภูมิภาคแอฟริกา ล้วนแต่เป็นกลไกในการคุ้มครอง
สิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาค ดังนั้น ลักษณะ บทบาท และอ�านาจหน้าที่ขององค์กรดังกล่าวจึงมีความแตกต่างจากของ
ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เปรียบเทียบเช่นนี้ก็สามารถชี้ให้เห็นแนวทางเพื่อน�ามาสู่การพัฒนาการคุ้มครอง
สิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมได้ในระดับหนึ่ง
จากการศึกษาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของภูมิภาคอเมริกา และภูมิภาคแอฟริกา เห็นได้ว่า คณะ
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคของทั้งสองภูมิภาคนี้จะมีอ�านาจชี้ขาดข้อพิพาทเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ได้เองโดยตรง แต่ค�าชี้ขาดดังกล่าวจะมีสถานะเป็นเพียงค�าแนะน�า (Recommendation) เท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้ค�า
ชี้ขาดจะมีสถานะเป็นเพียงค�าแนะน�า แต่โดยทั่วไปแล้วคู่พิพาทมักจะยึดถือตามแนวทางค�าแนะน�าของคณะกรรมการสิทธิ
มนุษยชนแห่งภูมิภาคนั้น เนื่องจากหากกรณีปรากฏว่าต้องมีการฟ้องร้องบังคับคดีเพื่อด�าเนินการเยียวยาหรือต้องมีการ
ก�าหนดความรับผิดในการชดใช้ค่าเสียหายให้แก่กัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคดังกล่าวจะน�าเรื่องเสนอต่อ
ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคต่อไป
บทบาทของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคอเมริกาและภูมิภาคแอฟริกาจึงมีมากกว่าบทบาท
ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทย เนื่องจากคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคนั้นได้ใช้
อ�านาจหน้าที่กึ่งตุลาการในการชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีด้วย บทบาทในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน (Protecting
Function) ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเช่นนี้จึงมีมากกว่าของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทย
กล่าวคือ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคจะเข้ามามีส่วนในการชี้ขาดระงับข้อพิพาทด้วย มิใช่เพียงแค่พิจารณา
เรื่องร้องเรียนแล้วน�าส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือฟ้องคดีต่อศาล ดังเช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของ
ประเทศไทย ซึ่งไม่ได้มีอ�านาจในการชี้ขาดข้อพิพาทในตัวเอง แต่เป็นไปในลักษณะให้ความสะดวกและให้ความเห็นหรือ
ค�าแนะน�าเท่านั้น
219

