Page 221 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 221
ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ
ทั้งนี้ หากพิจารณากรณีภูมิภาคยุโรป จะเห็นได้ว่าภูมิภาคยุโรปไม่ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน
แห่งภูมิภาคยุโรปขึ้นมาเป็นการเฉพาะ สถาบันสิทธิมนุษยชนที่มีลักษณะดังเช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ
จะเป็นการจัดตั้งภายในของแต่ละประเทศเท่านั้น ซึ่งไม่ใช่ทุกประเทศในภูมิภาคยุโรปที่จะมีสถาบันสิทธิมนุษยชนที่เทียบเท่า
ได้กับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติของประเทศไทย สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากภูมิภาคยุโรปได้ให้เรื่องการจัดตั้ง
สถาบันสิทธิมนุษยชนเป็นอ�านาจและการตัดสินใจของแต่ละประเทศ อนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
และเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ได้จัดตั้งเพียงศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปเท่านั้น เพื่อท�าหน้าที่ระงับข้อพิพาททางสิทธิมนุษยชน
ระดับภูมิภาค โดยประชาชนสามารถน�าข้อพิพาทเสนอต่อศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้โดยตรง โดยไม่จ�าต้องผ่าน
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเสียก่อน ต่างกับภูมิภาคอเมริกาและภูมิภาคแอฟริกา ที่ประชาชนไม่สามารถเสนอข้อพิพาท
ต่อศาลสิทธิมนุษยชนโดยตรงได้ต้องยื่นต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคเสียก่อน เพื่อจะได้คัดกรองข้อพิพาท
ในระดับหนึ่งก่อน ต่อเมื่อเห็นเป็นการสมควรที่จะต้องมีการบังคับคดีหรือชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น คณะกรรมการสิทธิ
มนุษยชนแห่งภูมิภาคดังกล่าวจึงจะน�าเรื่องเสนอต่อศาล
เมื่อพิจารณาถึงอ�านาจของประชาชนในภูมิภาคยุโรปซึ่งสามารถเสนอข้อพิพาทต่อศาลสิทธิมนุษยชน
โดยตรงได้เช่นนี้แล้ว คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคจึงไม่มีความจ�าเป็นนัก อีกทั้งอนุสัญญาแห่งยุโรปว่าด้วยการคุ้มครอง
สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน ท�าหน้าที่ได้ดีโดยไม่จ�าเป็นที่จะต้องมีกลไกรับเรื่องร้องเรียนอีกทอดหนึ่งเสียก่อน
อนึ่ง หากพิจารณากรณีการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย แม้จะไม่สามารถน�ามา
เปรียบเทียบกับกลไกการระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในระดับภูมิภาคได้ เนื่องจากเป็นกลไกทางสิทธิมนุษยชน
ต่างระดับกัน ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีการจัดตั้งศาลสิทธิมนุษยชนภายในประเทศขึ้นมาเป็นการเฉพาะ แต่จะเป็นการ
จัดตั้งขึ้นในระดับภูมิภาคเพื่อจัดการกับปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนภายในประเทศสมาชิกที่ประชาชนภายในประเทศ
ไม่มีหนทางอื่นใดที่จะเยียวยาโดยอาศัยภายในประเทศได้อีกแล้ว กล่าวคือ ได้มีการใช้กระบวนการเยียวยาภายในประเทศ
ทุกช่องทางแล้ว (Exhaustion of Local Remedies) ประเทศไทยก็เช่นเดียวกัน ไม่ได้มีการจัดตั้งศาลสิทธิมนุษยชน
ขึ้นเป็นการเฉพาะ ดังนั้น การฟ้องร้องคดีที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนจะต้องพิจารณาลักษณะของข้อพิพาทว่า
ตกอยู่ภายใต้เขตอ�านาจของศาลใด ศาลที่พิจารณาคดีเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศไทยจึงแตกต่างกันไป
ตามแต่การน�าเอากฎหมายที่ให้สิทธิในการฟ้องร้องคดีหรือกฎหมายที่ก�าหนดเขตอ�านาจศาล มาปรับใช้ในแต่ละกรณี
ส�าหรับศาลรัฐธรรมนูญ มีอ�านาจหน้าที่หลักในการพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย หาก
กฎหมายฉบับใดมีเนื้อหาเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ ก็อยู่ภายใต้เขตอ�านาจของศาล
รัฐธรรมนูญ ในขณะที่ศาลปกครองจะพิจารณาความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎและค�าสั่งทางปกครอง ตลอดจนการ
กระท�าอันเป็นการละเมิดทางปกครองของเจ้าพนักงาน โดยหากกฎหรือค�าสั่งทางปกครองใดมีเนื้อหาเป็นการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนซึ่งได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญ หรือเจ้าพนักงานมีการกระท�าทางปกครองที่มีผลเป็นการละเมิดสิทธิของ
ประชาชน กรณีพิพาทดังกล่าวย่อมตกอยู่ภายใต้เขตอ�านาจของศาลปกครอง ส่วนคดีเรียกร้องค่าเสียหายจากการกระท�า
อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยอาศัยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ก็จะเป็นคดีที่อยู่ภายใต้อ�านาจ
ของศาลยุติธรรม
เมื่อพิจารณาอ�านาจของศาลในประเทศไทยเช่นนี้จะเห็นได้ว่า แม้ทั้งศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง และ
ศาลยุติธรรมจะมีอ�านาจพิจารณาคดีหรือข้อพิพาทที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนก็ตาม แต่ไม่ได้เป็นการพิจารณาที่อ้างอิง
หลักการทางสิทธิมนุษยชนโดยตรง แต่จะเป็นการพิจารณาที่อ้างอิงถึงสิทธิที่ได้รับการรับรองไว้ในกฎหมายต่าง ๆ เช่น การ
220

