Page 222 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 222
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
ละเมิดสิทธิมนุษยชนตามรัฐธรรมนูญ หรือการละเมิดทางแพ่ง เป็นต้น การน�าคดีฟ้องร้องสู่ศาลจึงต้องพิจารณาลักษณะ
ของข้อพิพาทว่าเป็นการอ้างอิงถึงสิทธิหรือการกระท�าอันละเมิดต่อสิทธิภายใต้กฎหมายใดกฎหมายหนึ่ง เพื่อที่จะได้น�าคดี
ไปฟ้องร้องยังศาลที่มีเขตอ�านาจในการพิจารณาคดีดังกล่าวอย่างถูกต้อง
ดังนั้น จึงเป็นข้อน่าพิจารณาว่า ลักษณะของการด�าเนินคดีเพื่อระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ภายในประเทศไทย ต่างกับกรณีของภูมิภาคยุโรปที่มีศาลสิทธิมนุษยชนเป็นองค์กรระงับข้อพิพาทเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน
ในระดับภูมิภาคเป็นการเฉพาะและมีอ�านาจรับการเสนอคดีฟ้องร้องจากประชาชนได้โดยตรง เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงมีบทบาทส�าคัญ เนื่องจากเป็นองค์กรที่ให้ค�าแนะน�าแก่ประชาชนและในกรณีที่
เห็นสมควรต้องมีค�าพิพากษาชี้ขาดตัดสิน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติอาจเสนอข้อพิพาทเกี่ยวกับการละเมิด
สิทธิมนุษยชนดังกล่าวพร้อมทั้งท�าความเห็น น�าเสนอต่อศาลที่มีเขตอ�านาจในการระงับข้อพิพาทดังกล่าว ด้วยเหตุนี้ คณะ
กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจึงควรมีความรู้ที่ถูกต้องสมบูรณ์ครบถ้วนเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนในแง่มุมต่าง ๆ เพื่อเป็น
ที่พึ่งแก่ประชาชนต่อไป และเพื่อให้บทบาทของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
(Protecting Function) เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
๖.๖.๒ แนวทางค�าพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
หากพิจารณาข้อร้องเรียนเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมซึ่งได้ยื่นต่อ
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อร้องเรียนส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับเรื่องสิทธิชุมชน ซึ่งสิทธิชุมชนนี้
ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ โดยบทบัญญัติเรื่อง “สิทธิชุมชน” จะมีลักษณะ
เป็นการรับรองสิทธิของชุมชนในการคุ้มครอง อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและธรรมชาติในชุมชนของตน โดยให้มีส่วนร่วมใน
กระบวนการตัดสินใจของรัฐ กล่าวคือ โครงการใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องมีการจัดท�ารายงานการประเมินผล
กระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนในชุมชน และต้องจัดให้มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและ
ผู้มีส่วนได้เสียเสียก่อน สิทธิชุมชนจึงมีลักษณะเป็นสิทธิเชิงกระบวนการ
ข้อร้องเรียนต่าง ๆ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมักจะเกี่ยวข้องกับประเด็นที่ว่ากฎหมาย
ที่บังคับใช้อยู่นั้นมีบทบัญญัติที่ขัดหรือลิดรอนสิทธิชุมชนอันเป็นสิทธิที่ได้รับรองตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งเมื่อเป็นปัญหา
ที่เกี่ยวข้องกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายแล้ว กรณีดังกล่าวย่อมอยู่ภายใต้อ�านาจในการพิจารณาของศาล
รัฐธรรมนูญ แนวทางค�าพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จึงเกี่ยวข้องกับการละเมิดสิทธิชุมชนซึ่งเป็นสิทธิตาม
รัฐธรรมนูญและเป็นสิทธิเชิงกระบวนการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการสิ่งแวดล้อม มากกว่าที่จะเข้ามาชี้ขาดในประเด็น
เรื่องการละเมิดต่อสิทธิในสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิทธิเชิงเนื้อหาโดยตรง บทบาทของศาลรัฐธรรมนูญต่อข้อพิพาทเกี่ยวกับ
สิทธิมนุษยชนเชิงเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อมจึงอาจยังไม่ชัดเจนนัก
ค�าพิพากษาของศาลปกครองหลายคดีจะมีความเกี่ยวข้องกับการกระท�าอันเป็นการท�าลายหรือท�าให้
เสื่อมโทรมซึ่งสิ่งแวดล้อมมากกว่าของศาลรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับสิทธิชุมชนหรือสิทธิตามรัฐธรรมนูญเป็นหลัก ส�าหรับ
ศาลปกครองนั้น ในกรณีที่ประชาชนต้องการเรียกร้องค่าเสียหายหรือการชดใช้เยียวยาจากการที่รัฐหรือหน่วยงานของรัฐ
เพิกเฉยไม่ควบคุมหรือจัดการกับปัญหามลพิษต่าง ๆ คดีลักษณะเช่นนี้จะอยู่ภายใต้อ�านาจของศาลปกครอง
จากการศึกษาค�าพิพากษาศาลปกครองสูงสุดในคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับประเด็นปัญหาสิ่งแวดล้อม ดังที่
ได้ศึกษามาในรายงานวิจัยข้างต้น สามารถน�ามาพิจารณาเปรียบเทียบกับแนวค�าวินิจฉัยขององค์กรสิทธิมนุษยชนในระดับ
ภูมิภาคได้ดังต่อไปนี้
221

