Page 223 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 223

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ





                       หากพิจารณาคดีของศาลปกครองที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายต่อชีวิตหรือสุขภาพของประชาชน  เช่น  คดี

          หมายเลขแดงที่ อ. ๔๑๕/๒๕๕๐ (คดีโคบอลท์ ๖๐) เป็นเรื่องเกี่ยวกับความบาดเจ็บและการเจ็บป่วยที่เกิดจากสารโคบอลท์
          ๖๐ ศาลได้ตัดสินเกี่ยวค่าสินไหมทดแทนต่าง ๆ โดยอาศัยหลักเรื่องกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด ท�าให้จ�าต้อง

          มีการพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างผลและการกระท�า  ตลอดจนการพิสูจน์รายละเอียด  ในการคิดค�านวณหาค่าสินไหม
          ทดแทน ในขณะที่คดีที่มีลักษณะเดียวกันหรือคล้ายคลึงกันเช่นนี้ในภูมิภาคอื่น เช่น คดี Oneryaildiz v. Turkey ของ
          ภูมิภาคยุโรป ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้ตัดสินว่าการอนุญาตให้เปิดและประกอบกิจการที่มีความเสี่ยงต่อชีวิตมนุษย์

          เกิดก๊าซมีเทนที่มีส่วนส�าคัญท�าให้ประชาชนเสียชีวิต  ถือได้ว่ามีการละเมิดสิทธิในชีวิตซึ่งเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง
          หรือคดี SERAC and Another v. Nigeria ซึ่งเป็นเรื่องความเสียหายต่อสุขภาพร่างกายจากการปนเปื้อนของสารพิษ
          คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคแอฟริกาได้ตัดสินว่าเป็นการละเมิดสิทธิในร่างกายและสิทธิในสิ่งแวดล้อม

                       เมื่อพิจารณาตัวอย่างแนวทางค�าพิพากษาและค�าวินิจฉัยขององค์กรทางสิทธิมนุษยชนแห่งภูมิภาคของ
          ภูมิภาคยุโรปและภูมิภาคแอฟริกาดังข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่า มีการปรับเอาการกระท�าอันส่งผลเป็นการท�าลายหรือท�าให้
          สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมในกรณีดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน  ในขณะที่คดีลักษณะเดียวกันนี้ในประเทศไทยกลับเป็น

          การอ้างอิงการละเมิดตามหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ทั่วไป  โดยไม่ได้กล่าวถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนประเภทต่าง  ๆ
          ไว้แต่อย่างใด แสดงให้เห็นได้ว่าแนวทางของคดีปกครองที่มีลักษณะเช่นนี้ในประเทศไทย เนื้อหาของคดียังคงยึดโยงอยู่กับ

          หลักกฎหมายพื้นฐานในเรื่องละเมิดทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มากกว่าที่จะไปถึงระดับการละเมิดสิทธิมนุษยชน
                       เช่นเดียวกันกับในคดีหมายเลขแดงที่ อ.๗๓๐-๗๔๘/๒๕๕๗ ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับกรณีที่โรงไฟฟ้าแม่เมาะ
          ก่อให้เกิดมลพิษต่อชุมชน สามารถเทียบได้กับคดี Lopez Ostra v. Spain และคดี Fadeyeva v. Russia ของภูมิภาค

          ยุโรป ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับมลภาวะที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน โดยในคดี Lopez Ostra v. Spain และคดี
          Fadeyeva v. Russia ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปได้พิจารณาว่าการละเลยเพิกเฉยของรัฐในการปล่อยให้มีการก่อมลพิษ

          ดังกล่าวจัดได้ว่าเป็นการละเมิดสิทธิในการเคารพชีวิตส่วนตัวและครอบครัวอันเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง ในขณะที่
          คดีโรงไฟฟ้าแม่เมาะของประเทศไทยได้อาศัยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด มาปรับใช้เพื่อก�าหนดค่าสินไหม
          ทดแทนให้กับผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม ศาลได้กล่าวไว้ในช่วงหนึ่งว่ากิจการที่ก่อมลพิษของโรงงานไฟฟ้า

          แม่เมาะนั้นเป็นการกระทบต่อสิทธิในการด�ารงชีพอย่างปกติสุข ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ เห็นได้ว่าศาลปกครอง
          ในคดีโรงไฟฟ้าแม่เมาะได้มีการพยายามโยงเอาการก่อมลพิษเข้าเป็นการกระท�าอันละเมิดต่อสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่ทั้งนี้
          ท้ายที่สุดแล้ว หลักกฎหมายที่น�ามาใช้เป็นหลักในการเยียวยาให้แก่ผู้เสียหายได้แก่หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิด

                       แม้แต่ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.๗๔๙-๗๖๔/๒๕๕๗ (คดีเหมืองถ่านหินแม่เมาะ) ซึ่งเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับ
          การไม่ปฏิบัติตามมาตรการที่ก�าหนดไว้ในรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม คดีดังกล่าวมีเนื้อหาเกี่ยวพันกับสิทธิ
          เชิงกระบวนการ  กล่าวคือ  สิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการตัดสินใจของรัฐ  ซึ่งท�าให้เห็นแนวโน้มและ

          เหตุผลสมควรในการน�าเอาหลักสิทธิมนุษยชนเชิงกระบวนการมาปรับใช้กับกรณีพิพาททางสิ่งแวดล้อมอย่างชัดแจ้งได้
          อย่างไรก็ตาม  ลักษณะการบรรยายฟ้องคดีกลับเป็นไปในลักษณะของการฟ้องตามหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วย

          ละเมิด ท�าให้ต้องน�าเอาหลักกฎหมายละเมิดมาปรับใช้ ซึ่งรวมถึงการพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างผลและการกระท�าเพื่อ
          เรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทน











                                                          222
   218   219   220   221   222   223   224   225   226   227   228