Page 217 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 217

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ





          ระหว่างประเทศให้การรับรองว่าเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว ศาลไทยจะหยิบยกจารีตประเพณีระหว่าง

          ประเทศขึ้นวินิจฉัยทันที เช่น ค�าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๑/๒๕๔๒ และค�าวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๖-๗/๒๕๕๑
          ศาลรัฐธรรมหยิบยกอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. ๑๙๖๙ ซึ่งประเทศไทยมิได้เป็นภาคี (แต่ศาล

          ยุติธรรมระหว่างประเทศได้เคยวินิจฉัยไว้ว่าแนวทางปฏิบัติตามอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญาเป็น
          จารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว)  ขึ้นมาวินิจฉัยว่าตราสารที่ประเทศไทยได้ลงนามไปนั้น  (Letters  of  Intent,  Joint
          Communique) เป็นสนธิสัญญาหรือไม่ โดยในค�าวินิจฉัยที่ ๑๑/๒๕๔๒  ได้ระบุชัดเจนว่าศาลน�ามาใช้ในฐานะที่เป็นจารีต

          ประเพณีระหว่างประเทศ โดยไม่จ�าเป็นต้องอ้างถึงมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่บัญญัติว่า


                       “มาตรา ๔ กฎหมายนั้นต้องใช้ในบรรดากรณีซึ่งต้องด้วยบทบัญญัติใด ๆ แห่งกฎหมายตามตัวอักษร หรือ

          ตามความมุ่งหมายของบทบัญญัตินั้น ๆ
                       เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีได้ ให้วินิจฉัยคดีนั้นตาม  จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น ถ้าไม่มีจารีต
          ประเพณีเช่นว่านั้น  ให้วินิจฉัยคดีอาศัยเทียบบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง  และถ้าบทกฎหมายเช่นนั้นก็ไม่มีด้วย  ให้

          วินิจฉัยตามหลักกฎหมายทั่วไป”



                         ทั้งนี้  ค�าว่า  “จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น”  ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะถือว่ามีลักษณะ
          อย่างเดียวกันกับ “จารีตประเพณีระหว่างประเทศ” หรือไม่นั้น ผู้วิจัยเห็นว่า หากพิจารณาตามองค์ประกอบการเกิดขึ้น
          ของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ได้แก่ ๑) การปฏิบัติทั่วไปของรัฐทั้งหลาย และ ๒) รัฐทั้งหลายยอมรับแนวทางปฏิบัติ

          นั้นว่าเป็นกฎหมายแล้ว  อาจเป็นไปได้ว่าจารีตประเพณีระหว่างประเทศถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น
          ตามมาตรา ๔ ได้ เนื่องจากก่อนที่แนวทางปฏิบัติใดจะกลายเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศได้ จะต้องมีพัฒนาการ

          มาจากจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นเสียก่อน กล่าวคือ จารีตประเพณีระหว่างประเทศเป็นแนวทางปฏิบัติของรัฐทั่วไป ซึ่งได้
          ถือปฏิบัติโดยสอดคล้องต้องกันหลายรัฐ มีความต่อเนื่องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน หากมีรัฐใด (รวมถึงประเทศไทย) คัดค้าน
          แนวปฏิบัตินั้นก็ไม่ถือว่าเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ แต่ถ้าไม่มีการคัดค้านเกิดขึ้น ย่อมถือว่าแนวปฏิบัตินั้นเป็น

          States  practice  ได้  และหากแนวปฏิบัตินั้นได้รับการยอมรับนับถือว่าเป็นสิ่งที่ชอบเสมือนเป็นกฎหมายอย่างหนึ่ง  ก็จะ
          ครบองค์ประกอบของจารีตประเพณีระหว่างประเทศ มีผลผูกพันรัฐทั้งหลายรวมถึงประเทศไทยให้ต้องปฏิบัติตาม  เช่นนี้
          จึงอาจกล่าวได้ว่าจารีตประเพณีระหว่างประเทศทุกจารีตที่ได้รับการยอมรับแล้วถือว่าเป็นจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่น

          ตามมาตรา ๔  แต่จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นบางอย่างอาจมิใช่จารีตประเพณีระหว่างประเทศ
                       อย่างไรก็ดี ด้วยผลของจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่ถือว่าเป็น “กฎหมายระหว่างประเทศ” อันมีผล
          ผูกพันรัฐทุกรัฐ  ท�าให้จารีตประเพณีระหว่างประเทศกลายเป็น  “กฎหมาย”  ของทุกประเทศในโลก  อันจะแตกต่างจาก

          จารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นตามมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ “มิใช่กฎหมาย” ดังนั้น การปรับใช้
          จารีตประเพณีระหว่างประเทศจึงไม่มีความจ�าเป็นต้องอ้างจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นตามมาตรา ๔ วรรคสองแต่ประการใด

          เพราะถือว่าศาลมีกฎหมายให้วินิจฉัยชี้ขาดคดีความแล้ว ไม่จ�าเป็นต้องอ้างจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นอีก
                       กรณีของสิทธิมนุษยชนนั้น หากเทียบเคียงแนววินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับจารีตประเพณีข้างต้นแล้ว
          อาจปรับได้ว่าหากสิทธิมนุษยชนใดได้รับการยอมรับในสังคมระหว่างประเทศว่าเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้ว

          ศาลรัฐธรรมนูญไทยอาจพิจารณาหยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยคดีได้โดยไม่จ�าเป็นต้องมีกฎหมายภายในให้การรับรองไว้แต่อย่างใด
          และไม่จ�าเป็นต้องยกมาตรา ๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาปรับใช้แต่ประการใด




                                                          216
   212   213   214   215   216   217   218   219   220   221   222