Page 216 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 216
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
อย่างไรก็ดี ในทางปฏิบัติปัจจุบันอาจกล่าวได้ว่า ไม่มีประเทศใดที่ยึดทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งอย่างเคร่งครัดเลย
ดังนั้น มีตัวอย่างหลายประเทศที่ท�าให้เห็นได้ว่าบางประเทศที่ยึดทฤษฎีเอกนิยมก็อาจมีการออกกฎหมายมาอนุวัติการ
ความตกลงระหว่างประเทศได้ หรือบางประเทศที่ยึดทฤษฎีทวินิยมก็อาจไม่มีกฎหมายอนุวัติการ แต่น�าความตกลงระหว่าง
ประเทศนั้นมาใช้บังคับได้ทันทีเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ มีข้อสังเกตว่า ในบางกรณีประเทศที่ยึดทฤษฎีทวินิยม อาจไม่มีการ
อนุวัติการกฎหมาย เพราะเห็นว่ากฎหมายภายในที่มีอยู่เดิมก็สามารถใช้บังคับได้เพียงพออยู่แล้ว กรณีนี้ก็อาจเป็นไปได้
เช่นกันเพราะถือว่าไม่มีความจ�าเป็นต้องอนุวัติการ
๖.๔.๒ การน�าสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนมาใช้บังคับในประเทศไทย
ประเทศไทยยึดทฤษฎีทวินิยมในการน�ากฎหมายระหว่างประเทศมาใช้บังคับภายในประเทศ ดังนั้น เมื่อ
รัฐบาลไทยได้ท�าความตกลงระหว่างประเทศก็จะพิจารณาเป็น ๒ กรณี
กรณีที่พันธกรณีตามสนธิสัญญาก�าหนดให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นในการปฏิบัติตามสนธิสัญญา
โดยไม่ต้องบังคับประชาชนให้ต้องกระท�าตามสนธิสัญญา กรณีเช่นนี้ไม่มีความจ�าเป็นต้องเปลี่ยนรูปสนธิสัญญามาเป็น
กฎหมายภายในของประเทศไทยแต่อย่างใด อาทิ สนธิสัญญาเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของหน่วยงานภาครัฐระหว่าง
ภาคี
กรณีพันธกรณีตามสนธิสัญญาต้องบังคับประชาชนภายในรัฐให้ปฏิบัติตามสนธิสัญญาด้วย หรือเป็นการให้
สิทธิแก่ประชาชนในการเรียกร้องหน่วยงานภาครัฐ กรณีนี้ประเทศไทยจะต้องพิจารณากฎหมายที่มีอยู่เสียก่อนว่า
กฎหมายที่มีอยู่เพียงพอที่จะบังคับใช้ตามสนธิสัญญาอย่างครบถ้วนหรือไม่ หากมีความครบถ้วนดีอยู่แล้วก็ไม่จ�าเป็นต้องออก
กฎหมายมาบังคับใช้อีก แต่หากกฎหมายภายในเรื่องนั้น ๆ ไม่มีอยู่เลย หรือมีอยู่แต่ไม่ครบถ้วน กรณีนี้จะต้องมีการออก
กฎหมายมาบังคับใช้ภายในประเทศด้วย
กรณีสนธิสัญญาด้านสิทธิมนุษยชนก็เช่นกัน หากประเทศไทยได้ท�าความตกลงระหว่างประเทศเกี่ยวกับ
สิทธิมนุษยชนมาแล้ว จะต้องพิจารณาว่าพันธกรณีตามความตกลงมีอะไรบ้าง และกฎหมายภายในของประเทศไทยเพียงพอ
ที่จะใช้บังคับหรือไม่ หากเพียงพอแล้วก็ไม่มีความจ�าเป็นต้องออกกฎหมายมาใช้บังคับเพิ่มเติม แต่หากไม่เพียงพอมีความ
จ�าเป็นต้องออกกฎหมายมาใช้บังคับเพิ่มเติมด้วย
๖.๔.๓ การบังคับใช้จารีตประเพณีระหว่างประเทศในประเทศไทย
ตามที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ ๔ เกี่ยวกับการพิสูจน์แนวทางปฏิบัติที่ถือว่าเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ
ว่ามีการพิสูจน์ถึงองค์ประกอบต่าง ๆ เช่น แนวทางปฏิบัติของรัฐเป็นการทั่วไปอย่างสอดคล้อง เป็นไปในแนวทางเดียวกัน
และรัฐทั้งหลายยอมรับว่าแนวทางปฏิบัติเช่นว่านั้นเป็นกฎหมาย อย่างไรก็ดี การที่จะกล่าวอ้างว่าแนวทางปฏิบัติใดเป็น
จารีตประเพณีระหว่างประเทศแล้วหรือไม่นั้นเป็นสิ่งที่ยาก และศาลภายในของแต่ละประเทศมักจะไม่วินิจฉัยว่าแนวทาง
ปฏิบัติใดเป็นจารีตประเพณีระหว่างประเทศ จนกว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศก็ดีหรือองค์การระหว่างประเทศ ได้
วินิจฉัยไว้เป็นบรรทัดฐานแล้ว
ส�าหรับประเทศไทย ในการน�าจารีตประเพณีระหว่างประเทศมาใช้บังคับภายในประเทศตามแนวทาง
ปฏิบัติของศาลจะแตกต่างจากกรณีการน�าสนธิสัญญามาใช้ กล่าวคือ หากแนวทางปฏิบัติใดเป็นแนวทางปฏิบัติที่สังคม
215

