Page 224 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 224
ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อม
เพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
จากแนวทางค�าพิพากษาของศาลปกครองและแนวทางการต่อสู้คดีทางปกครองที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
สิ่งแวดล้อม เห็นได้ว่าหลักสิทธิมนุษยชนไม่ได้ถูกน�าขึ้นมาปรับใช้โดยตรง ศาลปกครองตลอดจนการต่อสู้คดีของคู่ความ
จะอาศัยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิดซึ่งเป็นหลักกฎหมายพื้นฐานทั่วไปมาปรับใช้ มากกว่าที่จะอาศัย
หลักกฎหมายสิ่งแวดล้อมหรือหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนมาปรับใช้โดยตรง
ส�าหรับคดีเกี่ยวกับมลภาวะทางเสียงที่เกิดจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้แก่ คดีหมายเลขแดงที่
ฟ. ๑๓/๒๕๕๒ สามารถน�ามาพิจารณาเทียบเคียงได้กับคดี Powell and Rayner v UK ของภูมิภาคยุโรป ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับ
มลพิษทางเสียงจากท่าอากาศยานฮีธโธรว์ แม้ทั้งสองคดีนี้จะมีผลลัพธ์เหมือนกันคือรัฐไม่มีความผิด แต่มีความแตกต่างกัน
ในเหตุผล กล่าวคือ ในคดี Powell and Rayner v UK ศาลสิทธิมนุษยชนแห่งยุโรปยอมรับว่ามลภาวะทางเสียงจาก
ท่าอากาศยานดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิในการเคารพชีวิตส่วนตัวและครอบครัวอันเป็นสิทธิมนุษยชนประเภทหนึ่ง
แต่มีเหตุเรื่องความจ�าเป็นทางเศรษฐกิจ โดยศาลได้ชั่งน�้าหนักระหว่างประโยชน์ทางเศรษฐกิจของการสร้างท่าอากาศยาน
กับค่าใช้จ่ายของผู้ฟ้องคดีที่ต้องเสียหายจากการย้ายที่อยู่อาศัยออกไปจากบริเวณท่าอากาศยานฮีธโธรว์ ดังนั้น ในคดีของ
ภูมิภาคยุโรป ศาลยอมรับว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่มีเหตุอันควรให้กระท�าได้
ในขณะที่กรณีประเทศไทย ศาลไม่ได้มีการยอมรับว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชน และไม่ได้ตัดสินว่ารัฐ
มีการละเมิดสิทธิประการใดของประชาชนด้วย แต่เป็นเรื่องที่ว่ารัฐไม่ได้มีดุลพินิจโดยไม่ชอบในการประเมินอาคารที่พักอาศัย
ของผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ การตัดสินเช่นนี้อาจก่อให้เกิดความรู้สึกขัดแย้งกับผู้ฟ้องคดี
ซึ่งเป็นผู้รับผลกระทบได้ ตราบใดที่ผู้ฟ้องคดียังคงยืนยันว่าได้รับผลกระทบจากมลภาวะทางเสียงอยู่ วิธีการที่เป็นการ
อธิบายเหตุผลให้แก่ประชาชนได้ดีที่สุดจึงน่าจะเป็นการชั่งน�้าหนักระหว่างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและต้นทุนทางสังคมที่
เกิดจากมลภาวะ อันน่าจะเป็นหลักเกณฑ์ที่สามารถเข้าใจได้มากกว่าการพยายามอ้างอิงมาตรวัดระดับเสียงที่เหมาะสม
ส�าหรับคดีในเขตอ�านาจของศาลยุติธรรมนั้น ก็ไม่ได้มีลักษณะแตกต่างกับคดีของศาลปกครองมากนัก
กล่าวคือ เป็นการอาศัยหลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยละเมิดมาปรับใช้เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากเอกชน
ผู้ก่อมลพิษ เช่น คดีหมายเลขแดงที่ ๒๑๔๗/๒๕๔๗ ซึ่งจ�าเลยในคดีนี้ประกอบกิจการโรงงาน แต่กลับประมาทเลินเล่อ
ปล่อยให้น�้าเสียของโรงงานถูกปล่อยเข้าสู่ธรรมชาติ ศาลพิพากษาว่าจ�าเลยกระท�าการอันเป็นการละเมิดจริง จึงสั่งให้
จ�าเลยแก้ไขปรับปรุงปัญหาที่เกิดขึ้น ภายใต้หลักกฎหมายว่าด้วยละเมิด
223

