Page 211 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมเพื่อการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
P. 211

ส�ำนักงำนคณะกรรมกำรสิทธิมนุษยชนแห่งชำติ





          ได้เขียนทั้งสิทธิเชิงเนื้อหาควบคู่ไปกับสิทธิเชิงกระบวนการไว้ในรัฐธรรมนูญ  เพื่อเป็นการเสริมกันและกันมากกว่าเป็นการ

          ทดแทนกัน
                         สิทธิเชิงกระบวนการ ก่อให้เกิดกระบวนการที่เป็นกลุ่มเดียวกัน ได้แก่ กระบวนการในการเข้าถึงข้อมูล

          ข่าวสาร กระบวนการในการมีส่วนร่วมสาธารณะในการตัดสินใจ และกระบวนการในการเข้าถึงความยุติธรรมในคดี
          สิ่งแวดล้อม การมีกระบวนการที่เพิ่มมากขึ้นดังกล่าว มองในแง่บวกถือว่าเป็นการสร้างประชาสังคมที่มีส่วนร่วมและ
          สร้างเสริมความเป็นประชาธิปไตยทั้งในเรื่องสิ่งแวดล้อมและเรื่องอื่น แต่ถ้ามองในแง่ลบ อาจกล่าวได้ว่า ยิ่งมีกระบวนการ

          มากเท่าใด ก็ยิ่งต้องใช้เวลา ความพยายาม และทรัพยากรในการจัดกระบวนการเหล่านั้นมากขึ้นเท่านั้น


                       ๓) การเขียนในรูปแบบของหน้าที่ของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อม

                         ในการบัญญัติเรื่องสิ่งแวดล้อมไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น รูปแบบหนึ่งที่นิยมเขียน คือ การก�าหนดไว้ว่าให้เป็น
          หน้าที่ของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อม จากตัวอย่างที่น�ามาศึกษา ประเทศที่เขียนในรูปแบบของหน้าที่ของประชาชน
          ในการปกป้องสิ่งแวดล้อมมักจะรับรองไว้ว่าให้เป็นสิทธิเชิงเนื้อหาด้วย จึงมีลักษณะเป็นการเขียนเรื่อง “สิทธิ” ควบคู่กับ

          “หน้าที่” นั่นเอง ดังจะเห็นได้จากกรณีภูมิภาคยุโรป ได้แก่ สเปน ตุรกี สโลวะเกีย ฟินแลนด์ โครเอเชีย กรณีภูมิภาค
          อเมริกา ได้แก่ บราซิล อาร์เจนตินา กรณีภูมิภาคแอฟริกา ได้แก่ เบนิน โมแซมบิก เบอร์คินาฟาโซ มาลี คองโก แองโกลา

          แอฟริกาใต้ ไนเจอร์ นอกจากนั้น มีบางประเทศที่ก�าหนดไว้ว่าให้หน้าที่ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม เป็นทั้ง “หน้าที่ของ
          ประชาชน” และ “หน้าที่ของรัฐ” ด้วย จากตัวอย่างที่น�ามาศึกษา กรณีภูมิภาคยุโรป ได้แก่ ตุรกี กรณีภูมิภาคอเมริกา ได้แก่
          บราซิล กรณีภูมิภาคแอฟริกา ได้แก่ มาลี คองโก ไนเจอร์ ข้อสังเกต คือ มีอยู่ ๕ ประเทศที่มีรัฐธรรมนูญก�าหนดให้เป็น

          หน้าที่ของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยไม่ได้ก�าหนดให้เป็นสิทธิเชิงเนื้อหา และไม่ได้ก�าหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐ
          ในการปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยแต่อย่างใด ประเทศดังกล่าว ได้แก่ แอลจีเรีย เอสโทเนีย ลาว ปาปัวนิวกินี สาธารณรัฐ

          อาหรับซีเรีย และวานูอาตู


                       ๔) การเขียนในรูปแบบของหน้าที่ของรัฐในการปกป้องสิ่งแวดล้อม

                         รูปแบบหนึ่งที่นิยมบัญญัติเรื่องสิ่งแวดล้อมไว้ในรัฐธรรมนูญ คือ การก�าหนดไว้ว่าให้เป็นหน้าที่ของรัฐใน
          การปกป้องสิ่งแวดล้อม จากตัวอย่างที่น�ามาศึกษา กรณีของยุโรปมี ๓ ประเทศ ที่มีรัฐธรรมนูญก�าหนดให้เป็นหน้าที่ของรัฐ
          ในการปกป้องสิ่งแวดล้อม ได้แก่ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ กรีซ โดยมีข้อสังเกตว่ารัฐธรรมนูญของสามประเทศนี้ไม่ได้ก�าหนด

          ให้เป็นสิทธิเชิงเนื้อหา และไม่ได้ก�าหนดให้เป็นหน้าที่ของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมด้วยแต่อย่างใด ส่วนกรณีของ
          ภูมิภาคอเมริกา มี ๓ ประเทศ ได้แก่ ชิลี โคลอมเบีย โบลีเวีย วิธีการเขียนให้เป็นหน้าที่ของรัฐในเรื่องปกป้องสิ่งแวดล้อม
          มีอยู่สองลักษณะ  ลักษณะแรก  เขียนว่าเป็นหน้าที่ของรัฐในประโยคติดกันและต่อเนื่องกับประโยคที่บัญญัติรองรับสิทธิใน

          สิ่งแวดล้อมที่ดีของประชาชนในมาตราเดียวกัน ส�าหรับกรณีที่มีการบัญญัติเรื่องดังกล่าวอยู่ด้วย ลักษณะที่สอง เขียนว่า
          เป็นหน้าที่ของรัฐในมาตราต่างหากที่อยู่ในหมวดแนวทางวัตถุประสงค์และหลักการของนโยบายของรัฐ (Guiding

          Objectives and Principles of State Policy) ซึ่งมีลักษณะเป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ โดยอาจจะไม่ได้เขียนโดย
          ใช้ค�าว่า “หน้าที่” อย่างชัดแจ้ง ซึ่งการเขียนในลักษณะเช่นนี้ อาจน�าไปสู่การตีความว่าไม่ใช่หน้าที่โดยตรง แต่เป็นเพียง
          แนวทางที่รัฐ “ควรท�า” เท่านั้น ดังนั้น หากรัฐไม่ท�าการปกป้องสิ่งแวดล้อม ก็ไม่มีความรับผิดชอบแต่อย่างใด รัฐจะท�าหรือ

          ไม่ท�าก็ได้ เพราะไม่ใช่หน้าที่ ผลที่ตามมาคือ หากรัฐไม่ด�าเนินการ อาจไม่มีบทบังคับลงโทษใด ๆ ตัวอย่างของประเทศที่มี
          รัฐธรรมนูญในลักษณะที่สองนี้ เช่น บราซิล อิหร่าน นอร์เวย์ ฟิลิปปินส์ สเปน ซูดาน เป็นต้น




                                                           210
   206   207   208   209   210   211   212   213   214   215   216