Page 72 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 72

๓.๑.๔ การประเมินสถานการณ์
                     สถานการณ์เกี่ยวกับการทรมานบุคคลและการบังคับบุคคลให้สูญหาย โดยกล่าวอ้างว่ากระท�าหรือเกี่ยวข้องกับ

            เจ้าหน้าที่รัฐยังคงเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อันเป็นสถานการณ์ที่น่าห่วงกังวลเป็นอย่างยิ่ง โดยส่วนใหญ่เกิดจาก
            การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐในการจับกุม ควบคุมตัว โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีการร้องเรียนเกี่ยวกับ
            การกระท�าทรมานมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับพื้นที่อื่น ๆ อาจเนื่องจากรัฐไม่ได้มีมาตรการที่ชัดเจนในการแก้ไขปัญหา
            ประกอบกับการที่กระบวนการยุติธรรมของไทยไม่สามารถที่จะน�าตัวผู้กระท�าความผิดมาลงโทษได้ อีกทั้งประเทศไทยยังไม่มี
            ฐานความผิดเกี่ยวกับการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย ซึ่งมีเพียงกรณีเดียวที่ได้มีการสืบสวน สอบสวนจนสามารถ

            น�าคดีเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล คือ กรณีนักปกป้องสิทธิมนุษยชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาการไม่มีบทกฎหมาย
            เฉพาะส�าหรับกรณีการบังคับให้บุคคลสูญหาย จึงท�าให้การสืบสวน สอบสวนติดตามหาบุคคลที่หายสาบสูญโดยถูกบังคับ
            ไม่ประสบผลส�าเร็จเท่าที่ควร โดยเฉพาะหากการท�าให้หายสาบสูญเกิดจากการกระท�าหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่

            ของรัฐซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายเอง อีกทั้งค�าพิพากษาดังกล่าว ศาลได้วางหลักกฎหมายโดยให้ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน
            สามีหรือภริยาเป็นผู้มีอ�านาจจัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๕ (๒) เฉพาะ
            ในกรณีที่ผู้เสียหายถูกท�าร้ายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจัดเองได้ ดังนั้น หากเป็นกรณีที่บุคคลถูกบังคับให้สูญหาย
            โดยไม่ทราบชะตากรรมว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาจะไม่สามารถเป็นโจทก์ฟ้องคดีที่เกิดจาก
            บุคคลถูกบังคับให้สูญหายได้ ต้องให้อัยการเป็นผู้ฟ้องคดี ซึ่งก็อาจส่งผลต่อการน�าผู้กระท�าความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้

            หากอัยการมีค�าสั่งไม่ฟ้องคดี ด้วยเหตุนี้ ประเทศไทยจึงควรบัญญัติกฎหมายที่จะน�ามาบังคับใช้กับกรณีการทรมาน/การบังคับ
            บุคคลให้สูญหายเป็นการเฉพาะ เพื่อให้สามารถน�าผู้กระท�าความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ อย่างไรก็ตาม ประเทศไทย
            มีความพยายามในการจัดท�ากฎหมายเฉพาะที่เกี่ยวกับการทรมานและการบังคับให้สูญหาย และการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาฯ

            โดยเมื่อวันที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงยุติธรรมเสนอการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา
            ระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้สาบสูญ และอนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติป้องกัน
                                                                                                   ๕๑
            และปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. .... ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๙  คณะรัฐมนตรี
            มีมติเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระท�าให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ของ
            กระทรวงยุติธรรม ที่ส�านักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว และให้ส่งคณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติ  สถานการณ์ด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง

            แห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
                                                           ๕๒

                     นอกจากนี้ พบว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๖/๑ ได้บัญญัติเกี่ยวกับการรับฟัง

            พยานหลักฐาน โดยพยานหลักฐานใดเป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นโดยชอบ แต่ได้มาเนื่องจากการกระท�าโดยมิชอบ หรือเป็น
            พยานหลักฐานที่ได้มาโดยอาศัยข้อมูลที่เกิดขึ้นหรือได้มาโดยมิชอบ ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานหลักฐาน เว้นแต่การรับฟัง
            พยานหลักฐานจะเป็นประโยชน์ต่อการอ�านวยความยุติธรรมมากกว่าผลเสีย อันเกิดจากผลกระทบต่อมาตรฐานของ          บทที่
            ระบบงานยุติธรรมทางอาญาหรือสิทธิเสรีภาพของประชาชน ซึ่งพยานหลักฐานที่ได้มาอาจได้มาจากการกระท�าทรมานได้    ๓
            เนื่องจากกฎหมายมีข้อยกเว้นให้ศาลรับฟังได้ จึงอาจเป็นการเปิดช่องให้มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่รัฐด้วย

            การกระท�าทรมานอันขัดต่อกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๗ ที่รับรองว่าบุคคลจะถูกทรมาน
            หรือได้รับการปฏิบัติหรือการลงโทษที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมไม่ได้ โดยคณะกรรรมการประจ�ากติกาได้มีความเห็นทั่วไป
            ที่ ๒๐ ว่า กฎหมายต้องก�าหนดห้ามการน�าเอกสาร ข้อความ หรือค�าสารภาพที่ได้มาจากการกระท�าทรมานหรือการปฏิบัติ

            ที่ต้องห้ามอื่น ๆ มาประกอบการพิจารณาในศาล





                     ๕๑  จากการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ และร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการ
            ทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ. ...., งานเดิม.
                     ๕๒  จากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ในการประชุมครั้งที่ ๑๖/๒๕๖๐ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๐ ได้มีมติให้ความเห็นชอบอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครอง
            บุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ ซึ่งคณะรัฐมนตรีเป็นผู้เสนอ, สืบค้นจาก http://library.senate.go.th/document/mVoteM/Ext33/33650_0001.PDF


                                     รายงานผลการประเมินสถานการณ์  71  ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙
   67   68   69   70   71   72   73   74   75   76   77