Page 55 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 55
แต่กฎหมายเหล่านั้นยังมีช่องว่างที่อาจจะไม่เป็นไปตามหลักการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ องค์การสหประชาชาติจึงได้
ออกหลักการสหประชาชาติแนวทางปฏิบัติว่าด้วยการด�าเนินธุรกิจและสิทธิมนุษยชน (UNGPs) เพื่อก�าหนดบทบาทหน้าที่
ของภาครัฐและธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจและสิทธิมนุษยชน โดยที่ผ่านมา พบว่าการด�าเนินกิจการของภาคธุรกิจส่งผลกระทบ
ด้านสิทธิมนุษยชนในส่วนส�าคัญ กล่าวคือ
• ผลกระทบต่อแรงงาน แรงงานข้ามชาติ ชุมชน และกลุ่มเปราะบาง จนท�าให้คณะกรรมาธิการยุโรปออก
ค�าประกาศแจ้งเตือน (ใบเหลือง) กับประเทศไทย หรือการที่กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จัดอันดับสถานการณ์
การค้ามนุษย์ (Trafficking In Persons Report) ของไทยอยู่ในอันดับ Tier 3
• ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากการประกอบกิจการเหมืองแร่ หรือโครงการพัฒนา หรือ
การลงทุนขนาดใหญ่ ทั้งที่เกิดขึ้นในประเทศไทย และจากการนักธุรกิจผู้ลงทุนหรือโครงการพัฒนาทั้งของรัฐและเอกชนสัญชาติไทย
ในประเทศเพื่อนบ้าน
ที่ผ่านมา กสม. พบว่า รัฐได้มีมาตรการ/นโยบายหลายประการ
ในการแก้ไขปัญหา ตลอดจนภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่หลายแห่ง
ที่ได้รับผลกระทบจากการด�าเนินธุรกิจที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชน
ได้มีความตื่นตัวและมีความพยายามในการด�าเนินธุรกิจบนการเคารพ
สิทธิมนุษยชนมากขึ้น โดยรัฐบาลมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑๖
พฤษภาคม ๒๕๕๙ ในการผลักดันให้ประเทศไทยมีมาตรการและ
แนวทางปฏิบัติอย่างจริงจังในการส่งเสริมให้เอกชนมีความรับผิดชอบ
ต่อสังคมและเคารพหลักพื้นฐานด้านสิทธิมนุษยชนในการลงทุน
ทั้งที่เกิดในประเทศ รวมถึงการลงทุนสัญชาติไทยในต่างประเทศ
ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอแนะเชิงนโยบายของ กสม. พร้อมกับการก�ากับ
๑๔
การปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์การส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคม
ของธุรกิจ ฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐) อย่างไรก็ดี ยังพบว่ามี
ด�าเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในเชิงธุรกิจกับสิทธิมนุษยชนค่อนข้างน้อย
นอกเหนือจาก กรณีที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์ทางการค้าและการลงทุน
อย่างรุนแรง จึงมีข้อเสนอให้หน่วยงานของรัฐและภาคเอกชนต้องด�าเนินการอย่างจริงจังและน�าแนวทางการเฝ้าระวัง
โดยใช้กระบวนการตรวจสอบสิทธิมนุษยชนอย่างรอบด้าน (Human Rights Due Diligence : HRDD) มาปรับใช้
สถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในปี ๒๕๕๙ เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ จ�านวน ๘๐๗ เหตุการณ์ โดยมีผู้เสียชีวิต
จ�านวน ๓๐๗ ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ ๖๒๘ ราย ซึ่งมีจ�านวนเพิ่มขึ้นจากปี ๒๕๕๘ ซึ่งมีเหตุการณ์เกิดขึ้น ๖๗๔ เหตุการณ์
มีผู้เสียชีวิต ๒๔๖ ราย และผู้ได้รับบาดเจ็บ ๕๔๔ ราย ในขณะที่ รัฐมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่
จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยแนวทางสันติวิธีผ่านกระบวนการพูดคุยสันติสุข โดยด�าเนินการพูดคุยสันติสุขกับกลุ่มที่มีอิทธิพล
ในการก่อเหตุความรุนแรง ในเดือนกันยายน ๒๕๕๙ ซึ่งมีการจัดตั้งพื้นที่ปลอดภัย (safety zone) เฉพาะในบางพื้นที่ และ
ก�าหนดข้อตกลงต่าง ๆ ร่วมกัน ทั้งนี้ ยังพบสถานการณ์ส�าคัญ กล่าวคือ
• การก่อเหตุการณ์ความไม่สงบอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การด�าเนินการยังไม่เป็นรูปธรรมหรือมีความก้าวหน้าใน
การด�าเนินการตามข้อตกลงจากการเจรจา
• การร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิในกระบวนการยุติธรรมโดยส่วนใหญ่อ้างว่า ได้รับผลกระทบจากการบังคับ
ใช้กฎหมายพิเศษด้านความมั่นคงในพื้นที่
๑๔ รายงานผลการพิจารณาค�าร้อง ๑๑๒๐/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เรื่องสิทธิชุมชน กรณีโครงการท่าเรือน�้าลึกและเขตเศรษฐกิจทวาย ในสาธารณรัฐ
แห่งสหภาพเมียนมา ซึ่งประเทศไทยได้ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงการพัฒนา ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อชาวทวาย
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ 54 ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙