Page 229 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 229

(๒) รัฐบาลได้ยื่นสัตยาบันสารอนุสัญญาขององค์การแรงงาน
                                                 ระหว่างประเทศ (ILO) จ�านวน ๒ ฉบับ ได้แก่ (๑) อนุสัญญาองค์การแรงงาน

                                                 ระหว่างประเทศฉบับที่ ๑๘๗ ว่าด้วยกรอบเชิงส่งเสริมการด�าเนินงานความ
                                                 ปลอดภัยและอาชีวอนามัย ค.ศ. ๒๐๐๖   และ (๒) อนุสัญญาว่าด้วย
                                                                                   ๔๘๗
                                                 แรงงานทางทะเล ค.ศ. ๒๐๐๖   โดยอนุสัญญาฉบับนี้เป็นหนึ่งในตราสาร
                                                                          ๔๘๘
                                                 ที่ส�าคัญของ ILO ที่ก�าหนดมาตรฐานขั้นต�่าของการท�างานและความเป็นอยู่
                                                 ของคนท�างานบนเรือที่ชักธงประเทศสมาชิกที่เป็นภาคี และมีความเชื่อมโยง

        กับอนุสัญญาขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศเกี่ยวกับความปลอดภัยของเรือ และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อมทางทะเล
                 (๓) การเตรียมร่างกฎหมายรองรับที่จะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๑๘๘
        ว่าด้วยการท�างานในภาคการประมง ค.ศ. ๒๐๐๗ และฉบับที่ ๒๙ ว่าด้วยการต่อต้านแรงงานบังคับ

                 (๔) การจัดท�าโครงการสิทธิจากเรือสู่ฝั่ง (Ship to Shore Rights Project) เพื่อป้องกันและลดทอนรูปแบบการใช้
        แรงงานที่ไม่อาจยอมรับได้ในธุรกิจภาคประมงและแปรรูปอาหารทะเล โดยมีกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับประโยชน์ ได้แก่ แรงงาน
        หญิงและบุรุษ และเด็กที่ท�างานในภาคประมงและอาหารทะเล และบริษัทในภาคธุรกิจห่วงโซ่อาหาร  ๔๘๙
                 (๕) การจัดท�าโครงการความร่วมมือทางวิชาการ เพื่อการแก้ไขปัญหารูปแบบการท�างานที่ไม่เป็นที่ยอมรับ
        ในอุตสาหกรรมประมงและอุตสาหกรรมต่อเนื่องประมงทะเล (Combatting Unacceptable Forms of Work in the Thai

        Fishing and Seafood Industry) เพื่อปกป้องและลดการใช้แรงงานบังคับ แรงงานเด็ก และรูปแบบการท�างานที่ไม่เป็นที่
        ยอมรับ รวมทั้งเพื่อขจัดการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงาน โดยเฉพาะจากแรงงานข้ามชาติในอุตสาหกรรมประมงและ
        อุตสาหกรรมต่อเนื่องประมงทะเล

                 (๖) การจัดท�าเอกสารเกี่ยวกับแนวปฏิบัติอาเซียนส�าหรับความรับผิดชอบทางสังคมด้านแรงงาน (ASEAN Guidelines
                                                        ๔๙๐
        for Corporate Social Responsibility (CSR) on Labour)   ซึ่งเป็นเอกสารที่ก�าหนดแนวปฏิบัติด้าน CSR ส�าหรับภาคธุรกิจ
        ในประเทศสมาชิกอาเซียนตามความสมัครใจภายใต้กฎระเบียบภายในของประเทศสมาชิกนั้น ๆ โดยมีประเด็นข้อก�าหนด
        ได้แก่ แรงงานบังคับและแรงงานเด็ก การจ้างงานและความสัมพันธ์ในการจ้างงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการฝึกอบรม
        สภาพการท�างานและการด�ารงชีวิต อุตสาหกรรมสัมพันธ์ แรงงานโยกย้ายถิ่นฐาน และการพัฒนาที่ยั่งยืน

                 (๗) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๕๙ ให้จัดตั้ง “ศูนย์แรกรับเข้าท�างานและสิ้นสุดการจ้าง”
                                                                               ๔๙๑
        ส�าหรับแรงงานต่างด้าว ๓ สัญชาติ ได้แก่ เมียนมา ลาว และกัมพูชา จ�านวน ๓ จังหวัด   เพื่อเป็นการอ�านวยความสะดวก
        และเป็นสถานที่ให้ความรู้แก่แรงงานต่างด้าวที่จะเข้ามาท�างานในประเทศไทยในด้านต่าง ๆ รวมทั้งเป็นศูนย์ประสานงานให้

        ความช่วยเหลือและอ�านวยความสะดวกแก่นายจ้างและแรงงานต่างด้าวเกี่ยวกับการด�าเนินการให้เป็นไปตามสัญญาจ้างงาน


                 อนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๙ รัฐบาลไทยได้รับข้อเสนอแนะจากการประชุมทบทวนสถานการณ์
        สิทธิมนุษยชนของประเทศไทยในกระบวนการ Universal Periodic Review (UPR)   รอบที่ ๒  (พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๒๕๖๓)
                                                                              ๔๙๒
        จากประเทศต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติ ได้แก่ (๑) การด�าเนินการปราบปรามแรงงานผิดกฎหมายในภาคประมง

        และอุตสาหกรรมอาหารกระป๋อง (๒) การพยายามปราบปรามการใช้แรงงานบังคับและการค้ามนุษย์ (๓) การขยายการเข้าถึง
        สิทธิในการรักษาพยาบาล การประกันสังคม และค่าแรงขั้นต�่า และเสริมสร้างความปลอดภัย (๔) การพยายามเสริมสร้างนโยบาย
        และมาตรการเพื่อส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของประชาชนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้โยกย้าย

                 ๔๘๗  จาก อนุสัญญาฉบับนี้เป็นอนุสัญญา ILO ฉบับที่ ๑๖ ที่ไทยให้สัตยาบัน และจะมีผลบังคับใช้ในอีก ๑๒ เดือนถัดไปนับจากวันที่ให้สัตยาบัน คือวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๖๐,
        สืบค้นจาก http://humanrights.mfa.go.th/th/news/119/
                 ๔๘๘  จาก อนุสัญญาฉบับนี้เป็นอนุสัญญา ILO ฉบับที่ ๑๗ ที่ไทยให้สัตยาบัน และจะมีผลบังคับใช้ในอีก ๑๒ เดือนถัดไปนับจากวันที่ให้สัตยาบัน คือในวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๖๐,
        สืบค้นจาก http://www.thaiembassy.org/hague/contents/files/news-20160614-172856-841217.pdf
                 ๔๘๙  ครอบคลุม ๒๒ จังหวัดชายฝั่งทะเลในประเทศไทย โดยมุ่งเน้นจังหวัดพังงา ภูเก็ต ปัตตานี สงขลา ระนอง ตรัง ชุมพร สุราษฎร์ธานี สมุทรสาคร ระยอง และชลบุรี
        กิจกรรมบางส่วนในประเทศเมียนมา กัมพูชา และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระยะเวลาในการด�าเนินการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ - กรกฎาคม ๒๕๖๒
                 ๔๙๐  เอกสารดังกล่าวได้รับการรับรองโดยที่ประชุมรัฐมนตรีแรงงานอาเซียน ครั้งที่ ๒๔ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙
                 ๔๙๑  (๑) ศูนย์แรกรับเข้าท�างานและสิ้นสุดการจ้าง ต�าบลแม่สอด จังหวัดตาก (๒) ศูนย์แรกรับเข้าท�างานและสิ้นสุดการจ้าง ณ ศูนย์การค้าตลาดอินโดจีน อ�าเภอ
        อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว (๓) ศูนย์แรกรับเข้าท�างานและสิ้นสุดการจ้าง อ�าเภอเมือง จังหวัดหนองคาย
                 ๔๙๒  เป็นกลไกหนึ่งที่คณะมนตรีแห่งสหประชาชาติใช้ในการตรวจสอบและทบทวน/ประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศสมาชิก ประเทศไทยในฐานะประเทศ
        สมาชิกจึงจะต้องด�าเนินการใด ๆ เพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนตามข้อเสนอแนะของประเทศสมาชิกสหประชาชาติที่ได้จากการท�า UPR

                                 รายงานผลการประเมินสถานการณ์  228  ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙
   224   225   226   227   228   229   230   231   232   233   234