Page 207 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 207
ระยะสั้น (๑) สร้างความตระหนักกับหน่วยงานภาครัฐเพื่อท�าความเข้าใจ (๒) ท�า MOU ร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ
(๓) จัดท�าคู่มือส�าหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (๔) ลงพื้นที่กรณีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพื่อน�าสภาพปัญหามาก�าหนด
มาตรการที่เหมาะสม
ระยะกลาง (๑) ให้คณะท�างานชุดเดิมท�างานต่อไปเพื่อเสนอมาตรการระยะกลางในการพัฒนาให้เป็นระเบียบ
ส�านักนายกรัฐมนตรี โดยในอนาคตอาจตั้งเป็นคณะกรรมการ (๒) ทดลองปฏิบัติงานน�าร่องโดยใช้คู่มือนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
และตั้งเป็นคณะท�างานปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเพื่อถอดบทเรียน
ระยะยาว (๑) จัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อบูรณาการในการท�างานร่วมกันทุกภาคส่วนให้สอดคล้องกัน
โดยสัดส่วนของคณะกรรมการต้องสมดุลกันระหว่างผู้แทนภาครัฐและภาคประชาสังคม (๒) ก�าหนดให้บุคลากรที่จะดูแล
ผู้ปกป้องสิทธิมนุษยชนมาจากกลไกรัฐที่มีอยู่เดิมและมีหน่วยงานประสานหลัก (Focal Point) (๓) ก�าหนดให้มีระเบียบ
ส�านักนายกรัฐมนตรีรองรับการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการ
โดยการประชุมดังกล่าวมีข้อเสนอแนะให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพลงพื้นที่เพื่อท�างานแก้ไขปัญหา
นักปกป้องสิทธิมนุษยชน เพื่อจะได้ทราบถึงสภาพปัญหาและแนวทางการแก้ปัญหาจากการลงพื้นที่ กรมคุ้มครองสิทธิและ
เสรีภาพจึงจัดท�าคู่มือส�าหรับนักปกป้องสิทธิมนุษยชน และแบบฟอร์มในการรับเรื่องของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนขึ้น รวมทั้ง
ประสานงานร่วมกับส�านักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (OHCHR) และองค์กร Protection International
เพื่อก�าหนดกลุ่มเป้าหมายในการลงพื้นที่
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ได้มีการเสนอรายงานทบทวนสถานการณ์สิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ภายใต้
กระบวนการ Universal Periodic Review (UPR) รอบที่ ๒ รายละเอียดปรากฏในหัวข้อสถานการณ์ทั่วไปข้างต้น
๖.๔.๔ การประเมินสถานการณ์
เมื่อพิจารณาจากจ�านวนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
สูญหายที่ผ่านมา พบว่า มีจ�านวนนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
สูญหายลดลง อาจถือได้ว่าหลักการตามปฏิญญาว่าด้วย
สิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคล และ
องค์กรของสังคมในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน
และเสรีภาพขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสากล
อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคน
จากการบังคับให้หายสาบสูญ และกติการะหว่างประเทศ
ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองได้รับการปฏิบัติหรือยอมรับมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกับ
นักปกป้องสิทธิมนุษยชน คือ การถูกฟ้องร้องในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณาและการน�าข้อมูลเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์
มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงอาจส่งผลให้เกิดความหวาดกลัวในการที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่ความคิดเห็นต่อ
สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หากประเทศไทยมีกฎหมายป้องกันการด�าเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อระงับการมีส่วนร่วม
ของสาธารณชน (Anti – Strategic Litigation Against Public Participation (Anti – SLAPP Law) อาจท�าให้ความหวาดกลัว
ในการที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นหรือเผยแพร่ความคิดเห็นลดลง
กระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพได้มีความพยายามในการผลักดันให้ร่างพระราชบัญญัติป้องกัน
และปราบปรามการทรมานและการกระท�าให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. .... ประกาศใช้เป็นกฎหมาย อย่างไรก็ตาม ร่างดังกล่าว
ยังไม่ผ่านการพิจารณาจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งส่งผลให้ครอบครัวหรือญาติของผู้สูญหายยังไม่สามารถเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ในคดีได้ การเยียวยามีความล่าช้าและครอบครัวหรือญาติของผู้สูญหายไม่พอใจกับการเยียวยาที่ได้รับ
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ 206 ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙

