Page 202 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 202
ซึ่งสิทธิในปฏิญญาดังกล่าวยังได้รับการรับรองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ และกติกา
ระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights)
ที่ประเทศไทยมีพันธกรณีต้องปฏิบัติตามด้วย
ในกรณีที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนได้ส่งเสริมและ
ต่อสู้เพื่อให้เกิดการคุ้มครอง และตระหนักถึงสิทธิมนุษยชน
และเสรีภาพขั้นพื้นฐานและส่งผลให้นักปกป้องสิทธิมนุษยชน
สูญหายจะมีความเชื่อมโยงกับสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและ
ร่างกาย และสิทธิที่จะไม่ถูกกระท�าทรมานที่ได้รับการรับรอง
ตามมาตรา ๓๒ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๕๐ ข้อ ๖ และข้อ ๗ ของกติการะหว่าง
ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๒ และ สถานการณ์สิทธิมนุษยชนของกลุ่มเฉพาะ
ข้อ ๔ ของอนุสัญญาต่อต้านการทรมาน และการประติบัติหรือ
การลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย�่ายีศักดิ์ศรี (Convention against Torture and Other Cruel Inhuman
or Degrading Treatment or Punishment – CAT) รวมทั้งข้อ ๑ และข้อ ๗ ของอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการ
คุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of All Persons from
Enforced Disappearance - ICPPED) ซึ่งแม้ว่าอนุสัญญา ICPPED ประเทศไทยยังไม่ได้ให้สัตยาบันแต่ได้ลงนามแสดงเจตนารมย์
ที่จะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาดังกล่าวแล้ว โดยในข้อ ๒ ของอนุสัญญาฯ ได้นิยาม ค�าว่า “การหายสาบสูญโดยถูกบังคับ” หมายถึง
การจับกุม กักขัง ลักพาตัว หรือการกระท�าในรูปแบบใด ๆ ก็ตาม ที่เป็นการลิดรอนเสรีภาพโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคล บทที่
๖
หรือกลุ่มบุคคลซึ่งด�าเนินการโดยได้รับการอนุญาต การสนับสนุนหรือการยอมรับโดยปริยายของรัฐ ตามมาด้วยการปฏิเสธ
ที่จะยอมรับว่าได้มีการลิดรอนเสรีภาพ หรือการปกปิดชะตากรรมหรือที่อยู่ของบุคคลที่หายสาบสูญ ซึ่งส่งผลให้บุคคลดังกล่าว
ตกอยู่ภายนอกการคุ้มครองของกฎหมาย โดยอนุสัญญาฉบับนี้ ถือว่าการบังคับให้บุคคลหายสาบสูญนั้นเป็นความผิดทางอาญา
ที่ร้ายแรง ซึ่งจะต้องมีการลงโทษต่อการกระท�าความผิดนั้นอย่างเหมาะสม และผู้ที่ได้รับความเสียหายจะต้องได้รับการชดใช้
เยียวยาอย่างยุติธรรม ทั้งนี้ รัฐภาคีของอนุสัญญาจะต้องให้ความเคารพและปฏิบัติตามพันธกรณีของอนุสัญญา ซึ่งถือเป็น
มาตรฐานขั้นต�่าในการให้ความคุ้มครองบุคคลจากการบังคับให้หายสาบสูญ
๖.๔.๒ สถานการณ์ทั่วไป
ที่ผ่านมา มีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนที่ปกป้องทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเรียกร้องการเข้าถึงสิทธิและ
เสรีภาพในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิทางเศรษฐกิจ ถูกสังหารและบังคับสูญหายในประเทศไทยกว่า ๕๙ คน เช่น กรณี
๓๘๐
นายเจริญ วัดอักษร แกนน�าคัดค้านโรงไฟฟ้าบ่อนอก – หินกรูด ถูกยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๔๗ กรณีนายสมชาย
นีละไพจิตร ทนายความผู้รับท�าคดีผู้ต้องสงสัยความผิดต่อความมั่นคงของรัฐในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้หายตัวไป
ตั้งแต่วันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๗ กรณีนายพอละจี รักจงเจริญ หรือบิลลี่ แกนน�าชาวกระเหรี่ยง นักต่อสู้เพื่อสิทธิการอยู่อาศัย
และท�ากินของกลุ่มชาติพันธุ์ในป่าแก่งกระจานที่หายตัวไปตั้งแต่วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๕๗ และกรณีนายเด่น ค�าแหล้ ประธานโฉนด
ชุมชนโคกยาว นักต่อสู้เพื่อคัดค้านนโยบายของรัฐ ซึ่งหายตัวไป เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๙ ขณะเดินทางเข้าไปหาของป่า
เป็นต้น อย่างไรก็ตาม แม้ว่ามีกรณีนักปกป้องสิทธิมนุษยชนสูญหายจ�านวนมาก แต่มีเพียงไม่กี่กรณีเท่านั้นที่มีการสอบสวนและ
คดีขึ้นสู่ชั้นศาล รวมทั้งมีหลายคดีที่ผู้กระท�าความผิดยังไม่ได้รับการลงโทษ ครอบครัวและญาติประสบปัญหากับเหตุการณ์
ที่เกิดขึ้น การเยียวยาความเสียหายมีเพียงการเยียวยาด้านการเงินและให้ความช่วยเหลือด้านทนายความเท่านั้น ๓๘๑
๓๘๐ แด่... นักปกป้องสิทธิมนุษยชน, ๒๕๖๐, โดย โพสต์ทูเดย์, สืบค้นจาก http://www.posttoday.com/life/life/479855
๓๘๑ จาก นักสู้ผู้จากไป...คนร้ายลอยนวล ภาพสะท้อนระบบยุติธรรมเหลว.?, ๒๕๖๐, สืบค้นจาก http://m.naewna.com/view/highlight/255507
รายงานผลการประเมินสถานการณ์ 201 ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙

