Page 189 - รายงานผลการประเมินสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี 2559
P. 189

๓) การเข้าถึงบริการสาธารณสุขของคนพิการมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก โดยรัฐได้ตระหนักถึงปัญหาความ
        เหลื่อมล�้าของการเข้าถึงสิทธิประโยชน์และการบริการสาธารณสุขของคนพิการ จึงมีค�าสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ

        ที่ ๕๘/๒๕๕๙ เรื่องการรับบริการสาธารณสุขของคนพิการ ตามกฎหมายว่าด้วยหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ และกฎหมาย
        ว่าด้วยการประกันสังคม เพื่อให้คนพิการที่เข้าสู่ระบบการจ้างงานสามารถเข้าถึงบริการสาธารณสุขโดยผ่านระบบประกันสุขภาพ
        แห่งชาติ ซึ่งให้สิทธิประโยชน์ต่อคนพิการมากกว่าระบบประกันสังคม โดยสวัสดิการด้านสาธารณสุขที่รัฐจัดให้เป็นสิ่งส�าคัญ
        และจ�าเป็นในการด�าเนินชีวิตของคนพิการอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอุปกรณ์ส�าหรับช่วยเหลือคนพิการ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่า ระบบ
        ประกันสุขภาพทั้งสามระบบให้สิทธิประโยชน์ต่อคนพิการแตกต่างกัน จากค�าสั่งดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า รัฐให้ความส�าคัญต่อ

        สภาพปัญหาที่เกิดขึ้น และเป็นการดีอย่างยิ่งหากรัฐจะด�าเนินการพัฒนาสิทธิประโยชน์ด้านสาธารณสุขให้คนพิการทุกคนได้
        เข้าถึงและอยู่บนมาตรฐานเดียวกันอย่างถาวรเพื่อให้เกิดความเสมอภาคส�าหรับคนพิการ
                 ๔) การเข้าถึงสิ่งอ�านวยความสะดวกอันเป็น

        สาธารณะ รัฐได้ด�าเนินการเพื่อให้คนพิการได้เข้าถึงและ
        จัดสิ่งอ�านวยความสะดวกให้คนพิการและทุกคนในสังคม
        ทั้งต้นทาง เช่น ที่พักอาศัย กลางทาง อาทิ ระบบขนส่ง และ
        ปลายทาง เช่น อาคารและพื้นที่สาธารณะ ซึ่งรัฐด�าเนินการ
        อย่างต่อเนื่องและมีความก้าวหน้า แต่อย่างไรก็ตาม

        การขับเคลื่อนในเรื่องดังกล่าวยังคงไม่ครอบคลุมทั่วถึงโดย
        เฉพาะในพื้นที่ชนบทซึ่งมีคนพิการอาศัยอยู่จ�านวนมาก
        รัฐควรเร่งด�าเนินการให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็วเพื่อให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสภาพแวดล้อม

        ทางกายภาพ การคมนาคม รวมถึงเทคโนโลยีและระบบสารสนเทศและการสื่อสาร ซึ่งอาจบูรณาการความร่วมกับหน่วยงาน
        ท้องถิ่น หรือชุมชนเพื่อจัดสิ่งอ�านวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะให้เกิดขึ้นครอบคลุมทุกพื้นที่อย่างรวดเร็ว


         ๖.๓  เด็ก


        ๖.๓.๑ หลักการสิทธิมนุษยชน

                                                                   อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the
                                                          Rights of the Child: CRC) ได้ประกันสิทธิของเด็ก โดย

                                                          เน้นหลักพื้นฐาน ๔ ประการ ได้แก่ (๑) การห้ามเลือกปฎิบัติ
                                                          ต่อเด็กและการให้ความส�าคัญแก่เด็กทุกคนอย่างเท่าเทียม
                                                          โดยไม่ค�านึงถึงความแตกต่างของเด็กในเรื่องเชื้อชาติ สีผิว เพศ
                                                          ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมือง ชาติพันธุ์ สังคม
                                                          ทรัพย์สิน ความทุพพลภาพ การเกิด หรือสถานะอื่น ๆ ของ

                                                          เด็ก หรือบิดามารดา หรือผู้ปกครองทางกฎหมาย ทั้งนี้ เพื่อให้
                                                          เด็กมีโอกาสที่เท่าเทียมกัน (๒) การกระท�าหรือการด�าเนินการ
        ทั้งหลายต้องค�านึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นอันดับแรก (๓) สิทธิในการมีชีวิต การอยู่รอด และการพัฒนาทางด้านจิตใจ

        อารมณ์ สังคม และ (๔) สิทธิในการแสดงความคิดเห็นของเด็ก และการให้ความส�าคัญกับความคิดของเด็ก


                 ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กโดยการภาคยานุวัติ เมื่อวันที่ ๒๗ มีนาคม ๒๕๓๕ และมีผล
        ใช้บังคับกับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๕ โดยได้ตั้งข้อสงวนเมื่อเข้าเป็นภาคีไว้จ�านวน ๓ ข้อ ได้แก่ ข้อ ๗ เรื่อง
        สถานะบุคคล ข้อ ๒๒ เรื่องสถานะของเด็กผู้ลี้ภัย และข้อ ๒๙ การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาเด็กให้เติบโตเต็มตามศักยภาพ

        ซึ่งต่อมา ประเทศไทยได้ถอนข้อสงวนของอนุสัญญา ๒ ข้อ คือ ข้อ ๒๙ เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๔๐ และข้อ ๗ เมื่อวันที่ ๑๓


                                 รายงานผลการประเมินสถานการณ์  188  ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศไทย ปี ๒๕๕๙
   184   185   186   187   188   189   190   191   192   193   194