Page 73 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประจำปี 2558
P. 73
รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘
ส�าหรับกรณีประกาศ คสช. ฉบับที่ ๓๗/๒๕๕๗ เรื่อง
ความผิดที่อยู่ในอ�านาจพิจารณาพิพากษาคดีของศาลทหาร ประกาศ
คสช. ฉบับที่ ๓๘/๒๕๕๗ เรื่อง คดีที่ประกอบด้วยการกระท�า
หลายอย่างเกี่ยวโยงกันให้อยู่ในอ�านาจศาลทหารและประกาศ
คสช. ฉบับที่ ๕๐/๒๕๕๗ เรื่อง ให้ศาลทหารมีอ�านาจพิจารณาพิพากษา
คดีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิด ที่ใช้เฉพาะแต่
การสงคราม ให้พลเรือนอยู่ในอ�านาจการพิจารณาของศาลทหารใน
การกระท�าความผิดตามประกาศข้างต้นนั้น กติการะหว่างประเทศ
ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๑๔ วรรค ๑ ได้บัญญัติ
รับรองว่าบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิได้รับการพิจารณาอย่างเปิดเผย
และเป็นธรรม โดยคณะตุลาการซึ่งจัดตั้งขึ้นตามกฎหมาย มีอ�านาจ มีความอิสระ และเป็นกลาง แต่โดยโครงสร้างของศาลทหาร
ได้ก�าหนดให้ศาลทหารสังกัดกระทรวงกลาโหม จ�านวน คุณสมบัติ พื้นความรู้ของตุลาการพระธรรมนูญ อัยการทหาร ก็เป็นไป
๔๑
๔๒
ตามที่กระทรวงกลาโหมก�าหนด ศาลทหารที่พิจารณาคดีพลเรือนจะใช้ตุลาการทหารเป็นองค์คณะเท่านั้น ไม่มีผู้บังคับบัญชา
๔๓
ทหารเข้าร่วมเป็นองค์คณะ การแต่งตั้งตุลาการก็ก�าหนดให้กระท�าโดยผู้มีอ�านาจบังคับบัญชา หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
กลาโหม การที่องค์กรตุลาการมีความเชื่อมโยงกับทหารดังที่กล่าวมา อาจจะไม่สอดคล้องกับหลักความเป็นอิสระและ
๔๔
เป็นกลาง โดยเฉพาะเมื่อ คสช. ได้ประกาศให้คดีบางประเภทอยู่ภายใต้การพิจารณาของศาลทหาร มีผลให้พลเรือน
ต้องถูกพิจารณาในศาลทหาร ซึ่งหากไม่มีประกาศ คสช. การกระท�าความผิดดังกล่าวจะอยู่ในอ�านาจพิจารณา
ของศาลยุติธรรมที่เป็นอิสระและไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริหาร ประกอบกับ คสช. ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร
ตั้งแต่วันที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗ ถึง ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ ส่งผลให้การพิจารณาของศาลทหารในช่วงระยะเวลาดังกล่าว
เป็นศาลทหารในเวลาไม่ปกติ จึงไม่สามารถที่จะอุทธรณ์หรือฎีกาค�าพิพากษาได้ แม้ว่าต่อมาได้มีการประกาศยกเลิก
กฎอัยการศึกไปแล้ว แต่คดีที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีการประกาศกฎอัยการศึก แล้วการพิจารณาคดียังไม่สิ้นสุด ถือเป็นคดีที่เกิดในเวลา
ไม่ปกติ ยังคงต้องห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา ซึ่งขัดกับหลักการในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ข้อ ๑๔ วรรค ๕ ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีและมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม
นอกจากนี้ ค�าสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๓/๒๕๕๘ ที่ให้อ�านาจเจ้าพนักงานรักษาความสงบเรียบร้อยมีอ�านาจเรียกตัวบุคคล
เพื่อมาสอบถามข้อมูลหรือให้ถ้อยค�าที่เป็นประโยชน์ และมีอ�านาจควบคุมตัวได้ไม่เกินเจ็ดวัน แต่การควบคุมตัวดังกล่าว
ต้องควบคุมไว้ในสถานที่อื่นที่มิใช่สถานีต�ารวจ ที่คุมขัง ทัณฑสถานหรือเรือนจ�า และจะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นในลักษณะที่เป็น
ผู้ต้องหามิได้ ซึ่งผลจากค�าสั่งฉบับดังกล่าวท�าให้มีการควบคุมตัวบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระท�าความผิดตามที่ระบุในค�าสั่ง
ฉบับดังกล่าว โดยลักษณะการควบคุมหลายกรณีจะไม่สามารถทราบสถานที่ควบคุมตัวว่าคือที่ใด ไม่สามารถติดต่อญาติหรือ
ผู้ที่ไว้วางใจได้ และสามารถควบคุมตัวไปได้นานถึง ๗ วัน จึงท�าให้การควบคุมในช่วงระยะเวลาดังกล่าวไม่สามารถที่จะทราบ
ชะตากรรมของผู้ถูกควบคุมตัวได้ เป็นการเสี่ยงที่จะถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนประการอื่น และยังเป็นการกระท�าที่ไม่เป็นไปตาม
หลักการในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๗/๑ ที่ได้คุ้มครองสิทธิของผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุม
ตัวหรือขังมีสิทธิในการขอให้เจ้าพนักงานแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งถูกจับหรือผู้ต้องหาไว้วางใจทราบถึงการจับกุมและสถานที่
ที่ถูกควบคุมในโอกาสแรก สิทธิในการพบและปรึกษาทนาย สิทธิได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติ เป็นต้น ซึ่งสิทธิ
ดังกล่าวเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลที่จะได้รับการรับรองและคุ้มครองจากรัฐ และหลักการในกติการะหว่างประเทศว่าด้วย
สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๗ ได้ก�าหนดว่า บุคคลจะถูกทรมาน หรือได้รับการปฏิบัติ หรือการลงโทษที่
โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือต�่าช้ามิได้ โดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ได้มีความเห็นทั่วไปที่ ๒๐ เกี่ยวกับ
๔๑ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๕
๔๒ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๑๑
๔๓ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๒๖ – ๒๙
๔๔ พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ มาตรา ๓๐
43