Page 136 - รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ประจำปี 2558
P. 136

รายงานการประเมินสถานการณ์สิทธิมนุษยชนในประเทศไทย ปี ๒๕๕๘



              ๔.๒  ค่าจ้างขั้นต�่า

              แม้ตัวเลขค่าแรงขั้นต�่าของแรงงานในประเทศไทยจะอยู่ล�าดับต้น ๆ ของประเทศสมาชิกอาเซียน แต่จากการที่ราคาสินค้าอุปโภคบริโภค
              มีราคาที่สูงขึ้น  จึงมีข้อเรียกร้องจากแรงงานเพื่อให้รัฐพิจารณาปรับขึ้นค่าแรงขั้นต�่าจาก ๓๐๐ เป็น ๓๖๐ บาท  กสม. เห็นว่า ในการพิจารณา
              ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต�่านั้น รัฐควรพิจารณาเงื่อนไขตามสภาพความเป็นจริง เช่น เงื่อนไขของสถานประกอบการแต่ละสถานประกอบการ
              ซึ่งมีความสามารถในการจ่ายค่าแรงแตกต่างกัน เงื่อนไขของค่าครองชีพหรือความจ�าเป็นในการใช้จ่ายในแต่ละพื้นที่ของประเทศมีความ
              แตกต่างกันในบริบทของตัวเอง ในจังหวัดที่มีค่าครองชีพสูง อาทิ กรุงเทพมหานคร แรงงานก็มีความจ�าเป็นต้องใช้จ่ายสูงขึ้นเช่นกัน รัฐจึง
              จ�าเป็นต้องพิจารณาอย่างเป็นระบบและละเอียดรอบคอบ เนื่องจากการพิจารณาขึ้นค่าแรงขั้นต�่าทั้งประเทศอาจส่งผลให้ราคาสินค้าปรับ
              ตัวสูงขึ้น ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กอาจรับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว ในขณะเดียวกัน รัฐควรพิจารณาทบทวนแก้ไขกฎหมายให้การ
              คุ้มครองค่าแรงขั้นต�่าครอบคลุมถึงลูกจ้างท�างานบ้านด้วย





              ๔.๓  สิทธิในการรวมตัวและเสรีภาพในการสมาคม
              รัฐมีความก้าวหน้าในการจะเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงาน  อนุสัญญาทั้งสองฉบับก่อน ๑๖๗  นอกจากนี้ ตามรัฐธรรมนูญ
                                               ๑๖๖
              ระหว่างประเทศ (ILO) ฉบับที่ ๘๗ ๑๖๕  และ ๙๘  โดยกระทรวง  แห่งราชอาณาจักรไทยได้บัญญัติให้กลุ่มข้าราชการและเจ้าหน้าที่
              แรงงานได้จัดท�า (ร่าง) พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ....   ของรัฐมีสิทธิในการรวมกลุ่มได้  โดยถือเป็นการรวมกลุ่ม  บทที่ ๔ สถานการณ์สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม
              และ (ร่าง) พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ....  ขึ้น   บนพื้นฐานของสิทธิมนุษยชนและสิทธิแรงงานของมนุษย์ทุกคน
              ซึ่งเป็นการปรับปรุงเนื้อหากฎหมายปัจจุบันให้สอดคล้อง   ที่รัฐไม่อาจเลือกปฏิบัติ แต่อย่างไก็ดี เสรีภาพในการรวมกลุ่ม
              กับอนุสัญญา ILO ฉบับที่ ๘๗ และฉบับที่ ๙๘ มากขึ้น แต่ผลจาก   ของข้าราชการอาจถูกจ�ากัดโดยบทบัญญัติของกฎหมายได้
              การรับฟังความคิดเห็นจากหลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น  เพื่อคุ้มครองประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน การรักษาความสงบ
              ภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านแรงงาน ยังพบว่า    เรียบร้อยของบ้านเมือง หรือจากการสั่งการของผู้บังคับบัญชา
              มีเนื้อหาในบทบัญญัติบางประการที่ยังควรต้องปรับปรุงแก้ไขเพิ่ม  อันเนื่องมาจากเหตุผลความจ�าเป็นในการจัดบริการสาธารณะ
              เติมเพื่อให้การคุ้มครองสิทธิของแรงงานเป็นไปอย่างครอบคลุม   ประสิทธิภาพในการบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้น ข้าราชการ
              ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น เช่น การใช้ค�าว่า “ลูกจ้าง” ซึ่งมีความหมาย  บางประเภทที่เป็นกลไกส�าคัญของประเทศจึงอาจถูกห้าม
              แคบกว่าค�าว่า “คนท�างาน” การมีบทบัญญัติที่เป็นการแทรกแซง   ไม่ให้จัดตั้งหรือเข้าเป็นสมาชิกสหภาพข้าราชการได้ ๑๖๘  ดังนั้น
              จากเจ้าหน้าที่ กรณีการจะจัดตั้งสมาคม สหภาพ สหพันธ์ ฯลฯ   รัฐยังควรผลักดันให้ร่างพระราชกฤษฎีกาก�าหนดหลักเกณฑ์
              เป็นต้น อย่างไรก็ดี เพื่อให้มีหลักประกันในการคุ้มครองสิทธิ  วิธีการ และเงื่อนไขในการรวมกลุ่มข้าราชการพลเรือนสามัญ
              เสรีภาพในการรวมตัวกันเป็นสมาคมและเจรจาต่อรอง กสม.    พ.ศ.  ....  เข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
              เห็นว่า รัฐบาลควรมีนโยบายและแผนการที่ชัดเจนในการเข้าเป็น   โดยเร็วเพื่อให้ข้าราชการมีสิทธิในการจัดตั้งสหภาพ
              ภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และ ๙๘   เช่นเดียวกับลูกจ้างประเภทอื่น
              โดยไม่ต้องรอให้มีการแก้ไขกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับ








             ๑๖๕   สาระส�าคัญ คือ ๑) นายจ้างและคนท�างานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคนท�างานในภาครัฐ หรือเอกชน ไม่ว่าจะเป็นแรงงานในระบบหรือแรงงานนอกระบบ มีสิทธิที่จะรวมตัวจัดตั้งหรือเข้าเป็น
             สมาชิกขององค์กรของตน เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตนได้อย่างอิสระโดยไม่จ�าเป็นต้องขออนุญาตล่วงหน้าจากหน่วยงานใด ๒) การรวมตัวนั้นเป็นไปได้อย่างเสรี ปราศจากการเลือกปฏิบัติ
             อันเนื่องมาจากความแตกต่างทางด้านเชื้อชาติ อาชีพ ศาสนา เพศ อายุ ความคิดเห็นทางการเมือง สีผิว ๓) มีเสรีภาพในการที่จะยกร่างธรรมนูญข้อบังคับขององค์กรตนเอง และคัดเลือก
             ผู้แทนของตน และการจัดการบริหารองค์กรของตนโดยที่รัฐจะต้องหลีกเลี่ยงที่จะเข้าไปแทรกแซงหรือจ�ากัดสิทธิดังกล่าว ๔) องค์กรนายจ้างและองค์กรแรงงานมีสิทธิและเสรีภาพที่จะจัดตั้ง
             หรือเข้าร่วมกิจกรรมและเป็นสมาชิกขององค์กรระดับสหพันธ์ หรือสภา รวมทั้งองค์กรระหว่างประเทศได้
             ๑๖๖   สาระส�าคัญคือ ๑) รัฐต้องคุ้มครองสิทธิในการรวมตัวจากการกระท�าใด ๆ อันเป็นการเลือกปฏิบัติในการจ้างงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกระท�าที่ท�าให้แรงงานไม่สามารถเข้า
             ร่วมสหภาพแรงงานได้ หรือต้องออกจากการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานหรือการเลิกจ้าง เพราะการเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงานหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมของสหภาพแรงงาน
             ๒) รัฐมีหน้าที่ต้องให้ความคุ้มครองแก่องค์กรของนายจ้างและองค์กรแรงงานให้ปลอดจากการแทรกแซงกันและกัน ๓) รัฐต้องด�าเนินการพัฒนากระบวนการต่าง ๆ ให้กฎหมายคุ้มครองสิทธิใน
             การรวมตัวและการเจรจาต่อรองร่วมสามารถบังคับใช้ได้จริง
             ๑๖๗   รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ที่ ๓๒๓/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘
             ๑๖๘   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่รายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย ที่ ๓๒๓/๒๕๕๘ ลงวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๘




                                                                                                          106
   131   132   133   134   135   136   137   138   139   140   141