Page 186 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 186
ซึ่งมีอาวุธครบได้ล้อมโบสถ์แห่งนั้นไว้เพื่อป้องกันมิให้กลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi ในโบสถ์สามารถหลบหนีออกไปได้ ในวันที่ ๑๓ เมษายน
ค.ศ. ๑๙๙๔ นาย Athanase Seromba ได้ขับไล่คนงานกลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi ออกไปจากโบสถ์ และห้ามมิให้กลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi
ที่หิวโหยและไร้ที่อยู่อาศัยเก็บกล้วยในบริเวณนั้นไปรับประทาน และสั่งให้เจ้าหน้าที่ต�ารวจยิงใส่กลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi นอกจากนี้
นาย Athanase Seromba ยังปฏิเสธค�าขอของกลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi ให้สวดมนต์ให้แก่พวกเขาอีกด้วย
ก่อนวันที่ ๑๖ เมษายน ค.ศ. ๑๙๙๔ กลุ่มชาติพันธุ์ Hutu หัวรุนแรง โจมตีกลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi ที่พัก
อาศัยอยู่ในโบสถ์ ด้วยการใช้มีดใบเลื่อย (machetes) ปืน ลูกระเบิดขนาดเล็ก (grenades) ดินปืน และปืนฉีดน�้ามัน (petrol
sprayers) เมื่อถูกโจมตี กลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi จึงปิดกั้นตนเองอยู่ภายในโบสถ์ ต่อมา วันที่ ๑๕ เมษายน ค.ศ. ๑๙๙๔ ผู้โจมตีพยายาม
จุดไฟเผาโบสถ์แต่ไม่ส�าเร็จ พยานให้การว่ากลุ่มผู้โจมตีร้องเพลงต่อต้านกลุ่มชาติพันธุ์ Tutsi และเป่านกหวีดขณะท�าการโจมตีดังกล่าว
ร่วมกันผู้น�าชุมชน
ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๖ เมษายน ค.ศ. ๑๙๙๔ เป็นเวลาหลายชั่วโมงที่โบสถ์แห่ง Nyange ถูกรถเกรดดิน
พุ่งชนท�าลาย ส่งผลให้ชาว Tutsi ที่อาศัยอยู่ในโบสถ์เสียชีวิตเป็นจ�านวนอย่างน้อย ๑,๕๐๐ คน ปรากฏว่าผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์
รถเกรดดินพุ่งชนท�าลายโบสถ์แห่ง Nyange เพียงหนึ่งคนเท่านั้น ศาลชั้นตนพบว่านาย Athanase Seromba ปรึกษาและยอมรับ
การตัดสินใจของหน่วยงานในชุมชน (local authorities’ decision) ที่จะให้รถเกรดดินพุ่งชนท�าลายโบสถ์แห่ง Nyange ซึ่งมีกลุ่ม
ชาติพันธุ์ Tutsi อาศัยอยู่ภายใน ก่อนที่จะขับรถเกรดดินพุ่งชนท�าลายโบสถ์ดังกล่าว คนขับรถได้ถามนาย Athanase Seromba ถึง
สามครั้งว่าเขาควรท�าลายโบสถ์แห่งนั้นหรือไม่ นาย Athanase Seromba ได้ตอบยืนยันไปและได้พูดด้วยถ้อยค�าที่เป็นการส่งเสริม
คนขับรถในการท�าลายโบสถ์นั้น ศาลชั้นต้นยังพบด้วยว่านาย Athanase Seromba ได้แนะน�าคนขับรถให้ขับรถพุ่งชนท�าลาย ณ จุด
ต่างๆ ของโบสถ์ของตน และชี้ให้เห็นถึงจุดเปราะบาง (the fragile side) ของโบสถ์ บนพื้นฐานของพยานหลักฐานต่างๆ ดังกล่าว
ศาลชั้นต้นตัดสินว่านาย Athanase Seromba เพียงแต่ช่วยหรือยุยงการก่ออาชญากรรมอันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์เท่านั้น
(merely added and abetted genocide) และลงโทษจ�าคุกบางส่วนเป็นเวลา ๑๕ ปี อัยการและจ�าเลยอุทธรณ์ค�าตัดสินของศาล
ชั้นต้น
ประเด็นหลักของการอุทธรณ์อยู่ที่รูปแบบของการมีส่วนร่วมของผู้ถูกกล่าวหา กล่าวคือ นาย Athanase
Seromba ได้ช่วยเหลือและยุยง กระท�าการ หรือสั่งให้ก่ออาชญากรรมอันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์และการท�าลายล้างอันเป็น
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไม่ หากแต่นาย Athanase Seromba ยังคงยืนยันความบริสุทธิ์ของตน และต่อสู้ว่าตน “มิได้กระท�า
ความผิดใดๆ” (did not commit any crime) และพยายามท�าให้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของศาลชั้นต้นตกไป
อัยการกล่าวอ้างว่าการกระท�าและค�าผรุสวาท (utterances) ของนาย Athanase Seromba นับว่าเป็น
“การสั่ง” (ordering) ให้ก่ออาชญากรรมอันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์และการท�าลายล้างอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ หรือ
ไม่ก็การกระท�าของนาย Athanase Seromba เป็นการ “กระท�าการ” (committing) ซึ่งไม่จ�าต้องมีการกระท�าความผิดโดยตรง
และทางกายภาพของการฆาตกรรมหรือการฆาตกรรมด้วยมือของบุคคลนั้นเอง (with one’s own hand) ศาลอุทธรณ์
โดยผู้พิพากษาฝ่ายข้างมากเห็นว่า “กระท�าการ” (committing) อาจเกิดขึ้นได้เมื่อการกระท�าของผู้ถูกกล่าวหา “มีส่วนส�าคัญ
ถึงขนาดเป็นส่วนหนึ่งที่มิอาจแยกออกได้ของอาชญากรรมอันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์” (as much an integral part of the
genocide) หรือการฆาตกรรมที่ท�าให้เกิดขึ้น และตัดสินว่านาย Athanase Seromba เป็น “ผู้กระท�าความผิดหลักโดยอนุญาต
และตัดสินใจด้วยตนเองในการกระท�าความผิด จึงสมควรถูกลงโทษฐานก่ออาชญากรรมอันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์” (principal
perpetrator) ดังนั้น นาย Athanase Seromba ได้กระท�าความผิดฐานก่ออาชญากรรมอันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์ เนื่องจาก
การกระท�าของเขา (การปรากฏตัวของเขา ค�าผรุสวาทของเขา การอนุญาตและตัดสินใจของเขาที่จะให้ขับรถพุ่งชนท�าลาย และ
การให้ค�าสั่งของเขา)ฟังได้ว่าเป็นการกระท�าส่วนหนึ่งที่มิอาจแยกออกได้ในการพุ่งชนท�าลายโบสถ์ซึ่งมีลักษณะเป็นการก่ออาชญากรรม
อันเป็นการท�าลายล้างเผ่าพันธุ์ ภายใต้ ความหมายที่กว้างขวางมากขึ้นของค�าว่า “กระท�าการ” (committing) จึงไม่เกี่ยวข้องกับ
การที่นาย Athanase Seromba มิได้ขับรถเกรดดินซึ่งท�าลายโบสถ์นั้นด้วยตนเอง
165
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖