Page 181 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 181

กรณีดังกล่าว จึงคล้ายคลึงกับสภาพการณ์และปัญหาที่เกิดขึ้นกับการก�าหนดและการด�าเนินนโยบายท�าสงครามกับ
               ยาเสพติดของรัฐบาลเม็กซิโกที่มีนายเฟลิเป้  คาลเดรอน  เป็นประธานาธิบดี  ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น  ที่ด�าเนินการในช่วงระยะเวลา

               ๖ ปี (ค.ศ. ๒๐๐๖ - ๒๐๑๒)  (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๕) และท�าให้มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและ
               ในวงกว้างทั่วประเทศเม็กซิโก และน�ามาซึ่งปัญหาการบังคับให้บุคคลสูญหาย (enforced disappearance) ซึ่งเกิดขึ้นแก่ประชาชน
               พลเรือนเป็นจ�านวนหลายหมื่นคน การก�าหนดและการด�าเนินนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลนายเฟลิเป้ คาลเดรอน ก็มีลักษณะเป็นการ

               ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crime against humanity) ในลักษณะการบังคับบุคคลให้สูญหาย ตามข้อ ๗ วรรคหนึ่ง ของ
               ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศเช่นเดียวกัน

                            ๑. กรณีจะต้องด�าเนินการอย่างไรเพื่อให้ผู้ก�าหนดนโยบายดังกล่าวได้รับโทษ
                               เมื่อการก�าหนดและการด�าเนินนโยบายในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท.

               ทักษิณ  ชินวัตร  เป็นนายกรัฐมนตรี  มีลักษณะเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามนัยและเจตนารมณ์แห่งธรรมนูญกรุงโรม
               ว่าด้วยศาอาญาระหว่างประเทศดังที่ได้วินิจฉัยข้างต้นแล้ว ปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปจึงได้แก่ กรณีจะต้องด�าเนินการอย่างไร
               เพื่อให้ผู้ก�าหนดนโยบายดังกล่าวได้รับโทษ

                               หากการเสนอเรื่องความผิดฐานการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อศาลอาญาระหว่างประเทศเป็น
               “เป้าหมายหลัก” และ “เป้าหมายสูงสุด” ของการด�าเนินการเพื่อให้ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการด�าเนินนโยบายดังกล่าวได้รับโทษ
               ปัญหาที่จะต้องพิจารณาเสียแต่ในเบื้องต้น ได้แก่ ค�าถามที่ว่าประเทศไทยอยู่ภายใต้บังคับของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญา

               ระหว่างประเทศ  และอยู่ภายใต้เขตอ�านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่  ดังนั้น  ในส่วนนี้จะได้กล่าวถึงข้อพิจารณาส�าคัญ
               สามประการ  ได้แก่  (๑.๑)  ประเทศไทยอยู่ภายใต้บังคับของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ  และเขตอ�านาจ

               ของศาลอาญาระหว่างประเทศหรือไม่  (๑.๒)  รูปแบบของความรับผิดของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ  และ  (๑.๓)  การฟ้องคดีการก่อ
               อาชญากรรมต่อมนุษยชาติต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ
                               (๑.๑)  ประเทศไทยอยู่ภายใต้บังคับของธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ  และศาลอาญา

               ระหว่างประเทศหรือไม่
                                     ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น สนธิสัญญาหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศจะมีผลผูกพันต่อรัฐหนึ่งรัฐใด

               ให้ต้องถือปฏิบัติตามก็ต่อเมื่อรัฐนั้นได้แสดงความยินยอมเข้าผูกพันด้วยการให้สัตยาบัน (Ratification) หรือให้ความเห็นชอบ
               (Approval) ดังนั้น การลงนามของผู้แทนรัฐในสนธิสัญญาในทางหลักการจึงยังไม่ก่อให้เกิดผลผูกพันต่อรัฐทันที หากแต่จนกว่าจะมี
               การให้สัตยาบันหรือให้ความยินยอมในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแก่สนธิสัญญานั้น เมื่อรัฐได้ให้สัตยาบันหรือให้ความยินยอมที่จะผูกพัน

               ตามสนธิสัญญาหรือกฎเกณฑ์ระหว่างประเทศต่างๆ  แล้ว  การให้สัตยาบันหรือความยินยอมดังกล่าวย่อมน�ามาซึ่งผลทางกฎหมาย
                                                                                           419
               ต่อความผูกพันของรัฐตามสนธิสัญญาโดยทันที  ดังที่ก�าหนดไว้ในข้อ  ๑๖  แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ   ซึ่งเป็นความผูกพันอย่าง
               เป็นทางการหรือ  “ความผูกพันในทางกฎหมาย”  (de  jure)  ของรัฐนั้นตามสนธิสัญญาที่รัฐได้ให้ความยินยอมนั้น  โดยนัยดังกล่าว

               แม้ประเทศไทยจะได้ลงนามรับรองธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศนั้นแล้ว  แต่เมื่อประเทศไทยยังมิได้ให้สัตยาบัน
               หรือให้ความยินยอมแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯ  อย่างเป็นทางการแต่อย่างใด  ประเทศไทยจึงยังไม่มีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามธรรมนูญ
               กรุงโรมฯ ดังกล่าว และยังไม่อยู่ภายใต้เขตอ�านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศที่จัดตั้งขึ้นตามธรรมนูญกรุงโรมฯ แต่อย่างใด




                       419
                         Vienna Convention, Article 16. EXCHANGE OR DEPOSIT OF INSTRUMENTs OF RATIFICATION, ACCEPTANCE, APPROVAL OR
               ACCESSION “Unless the treaty otherwise provides, instruments of ratification, acceptance, approval or accession establish the consent
               of the State to be bound by a treaty upon:
               (a) Their exchange between the contracting States;

               (b) Their deposit with the depositary;
               (c) Their notification to the contracting States or to the depositary, if so agreed.”

               160
               ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖
   176   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186