Page 182 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 182

แต่อย่างไรก็ตาม โดยที่การจัดท�าสนธิสัญญาเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐและเป็นการกระท�าของรัฐซึ่งมี
                    วัตถุประสงค์ต่อผลในทางกฎหมายให้สนธิสัญญามีผลผูกพัน ดังนั้น แม้ว่าสนธิสัญญาจะยังไม่มีผลใช้บังคับกับรัฐที่ลงนามใน

                    สนธิสัญญาก็ตาม  แต่ย่อมต้องถือว่ารัฐนั้นย่อมมี  “ความผูกพันทางข้อเท็จจริง”  หรือในทางปฏิบัติ  (de  facto)  หรือ  “พันธกรณี
                    อันเกิดจากความประพฤติ” (Obligation of conduct) ได้ ในอันที่จะต้องไม่กระท�าการใดหรืออนุญาตให้มีการกระท�าใดที่ขัดหรือ
                    แย้งหรือฝ่าฝืนต่อข้อก�าหนดในประการต่างๆ  ดังที่ก�าหนดไว้ในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศนั้นๆ  ซึ่งแสดงถึง  “ความ

                    ซื่อสัตย์สุจริต” ในความประพฤติของรัฐที่ลงนามในสนธิสัญญาหรือข้อตกลงระหว่างประเทศ ดังที่ก�าหนดไว้ในข้อ ๑๘ แห่งอนุสัญญา
                                                                                                    421
                              420
                    กรุงเวียนนาฯ     กล่าวคือ  รัฐจะต้องงดเว้นการกระท�าใดๆ  ที่อาจมีผลลบล้างวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญา   เมื่อรัฐนั้นได้ลงนาม
                    ในสนธิสัญญาหรือได้แลกเปลี่ยนตราสารจัดท�าสนธิสัญญาภายใต้เงื่อนไขแห่งการให้สัตยาบัน  การยอมรับ  หรือการให้ความเห็นชอบ
                    จนกว่ารัฐนั้นจะได้แสดงเจตจ�านงที่ชัดเจนว่าจะไม่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญา    หรือเมื่อรัฐนั้นได้แสดงความยินยอมที่จะผูกพันตามสนธิ
                                                                                                           422
                    สัญญา ก่อนที่สนธิสัญญาจะมีผลใช้บังคับและมีเงื่อนไขว่าจะไม่เลื่อนการมีผลใช้บังคับของสนธิสัญญาออกไปโดยมิชอบ
                                         โดยนัยดังกล่าว  แม้ประเทศไทยจะยังมิได้ให้สัตยาบันแก่ธรรมนูญกรุงโรมฯ  แต่การลงนามในธรรมนูญ

                    กรุงโรมฯ ย่อมน�ามาซึ่งพันธกรณีในทางปฏิบัติของประเทศไทยที่จะต้องไม่กระท�าการใดๆ หรือยอมให้มีการกระท�าการใดๆ อันจะก่อ
                    ให้เกิดผลกระทบหรือเป็นอุปสรรคต่อวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของธรรมนูญกรุงโรมฯ อันเป็นพันธกรณีที่เกิดขึ้นตามหลักกฎหมาย

                    จารีตประเพณีระหว่างประเทศซึ่งมีที่มาจาก “หลักสุจริต” (“Bona Fide”) การลงนามในธรรมนูญกรุงโรมฯ จึงแสดงถึง “เจตจ�านง
                    ในระดับหนึ่ง” ของประเทศไทยในลักษณะที่เห็นด้วยหรือเห็นชอบกับวัตถุประสงค์และสารัตถะของธรรมนูญนั้น ประเทศไทยจึงต้อง
                    ผูกพันตาม “หลักสุจริต”ที่จะต้องไม่กระท�าการใดๆ หรือยอมให้มีการกระท�าใดๆ อันเป็นการขัดหรือกระทบต่อธรรมนูญกรุงโรมฯ ที่

                    ได้ลงนามไว้
                                   (๑.๒) รูปแบบของความรับผิดของบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ

                                        หลักการส�าคัญของธรรมนูญกรุงโรมฯ  คือ  การน�าตัวบุคคลที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศ
                    อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรงมาด�าเนินคดีภายในเขตอ�านาจศาลอาญาระหว่างประเทศโดยเท่าเทียมกัน
                    และปราศจากการแบ่งแยก 423  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นประมุขของรัฐ  หรือผู้น�ารัฐบาล  สมาชิกของรัฐบาลหรือรัฐสภา  ผู้แทนที่ได้รับ

                    การเลือกตั้ง  หรือเจ้าหน้าที่รัฐบาล  ไม่ได้รับการยกเว้นจากความรับผิดทางอาญาตามธรรมนูญนี้ไม่ว่ากรณีใด  และจะไม่เป็นมูลเหตุ
                    ให้ลดหย่อนโทษ ธรรมนูญกรุงโรมฯ จึงได้ก�าหนดหลักความรับผิดทางอาญาของบุคคล โดยก�าหนดไว้ในภาค ๓ หลักการทั่วไปของ
                    กฎหมายอาญา (Part 3 General Principles of Criminal Law) นอกจากหลักอ�านาจศาลเหนือบุคคลธรรมดา (natural person) 424

                                                                                         425
                    และบุคคลไม่ต้องรับผิดทางอาญาหากไม่มีกฎหมายก�าหนด  (Nullum  crimen  sine  lege)   และบุคคลไม่ต้องรับโทษหากไม่มี
                                                      426
                    กฎหมายก�าหนด (Nulla poena sine lege)  ธรรมนูญกรุงโรมฯ ยังก�าหนดหลักการทั่วไปเกี่ยวกับรูปแบบความรับผิดของบุคคล
                    ที่ต้องในลักษณะต่างๆ ไว้ด้วย เนื่องจากโดยทั่วไปแล้ว การก่ออาชญากรรมร้ายแรงดังเช่นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติไม่สามารถ

                    กระท�าได้โดยบุคคลเพียงคนเดียว  หากแต่มักจะกระท�าโดยบุคคลหลายคนที่กระท�าการร่วมกันตามแผนการด�าเนินการเพื่อให้นโยบาย
                    ของรัฐหรือองค์กรบรรลุเป้าหมายที่วางไว้





                           420
                              Vienna Convention, Article 18. OBLIGATION NOT TO DEFEAT THE OBJECT AND PURPOSE OF A TREATY PRIOR TO ITS ENTRY
                    INTO FORCE
                           421
                              Vienna Convention, Article 18, paragraph 1.
                           422
                              Vienna Convention, Article 18, paragraph 2.
                           423
                              Rome Statute, Article 27 Irrelevance of official capacity, paragraph 1.
                           424
                              Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 1.
                           425
                              Rome Statute, Article 22 Individual criminal responsibility.
                           426
                              Rome Statute, Article 23 Individual criminal responsibility.

                                                                                                                   161
                                    ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖
   177   178   179   180   181   182   183   184   185   186   187