Page 178 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 178
• ก�าหนดเครื่องชี้วัดผลสัมฤทธิ์ของการด�าเนินการ โดยก�าหนดให้จ�านวนผู้ผลิต
หรือผู้ค้ายาเสพติดต้องลดลงเป็นจ�านวนไม่ต�่ากว่าอัตราร้อยละ ตามระยะเวลาที่ก�าหนด อีกทั้งก�าหนดให้องค์กรของรัฐที่เกี่ยวข้อง
ต้องรายงานข้อมูลผู้เกี่ยวข้องกับยาเสพติดเป็นรายวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การรายงานเฉพาะการจับกุม วิสามัญฆาตกรรม และการ
เสียชีวิตด้วยเหตุอื่นๆ
• ก�าหนดแรงกดดันต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้มีหน้าที่ปฏิบัติให้เป็นไปตามนโยบาย
ของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด หากไม่สามารถด�าเนินการให้เป็นไปตามเครื่องชี้วัด ผู้ว่าราชการจังหวัดและผู้ก�ากับต้อง
พ้นจากต�าแหน่งด้วยกัน
โดยนัยดังกล่าว การกระท�าความผิดอาญาประการต่างๆ ต่อผู้เสียหายทั้งหลาย
ในพื้นที่ต่างๆ ในช่วงระยะเวลาสามเดือนของการปฏิบัติการให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะ
ยาเสพติด บุคคลหรือกลุ่มบุคคลได้กระท�าลงโดย “มิใช่” เพราะบุคคลหรือกลุ่มบุคคลนั้นมุ่งประสงค์ต่อชีวิตหรือทรัพย์สินของบุคคล
เป้าหมาย “เป็นการส่วนตัว” หรือ “ตามความประสงค์ของตนเอง” เป็นการเฉพาะเจาะจงแต่อย่างใด หากแต่กระท�าไปเพียงเพื่อเป็น
ส่วนหนึ่งของการโจมตีหรือการประทุษร้ายประชากรพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ ซึ่งในที่นี้ ได้แก่ การด�าเนินการใดๆ เพื่อ
ให้บรรลุ “เป้าหมายโดยรวม” ตามนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดเป็นหลักเท่านั้น กรณีจึง
เป็นการกระท�าการเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีที่มีเป้าหมายต่อประชากรพลเรือนนั่นเอง ทั้งนี้ ค�าว่า “การโจมตีที่มีเป้าหมาย
418
ต่อประชากรพลเรือนใดๆ” ตามธรรมนูญกรุงโรมฯ หมายถึง กระบวนการการกระท�าซึ่งด�าเนินไปครั้งแล้วครั้งเล่าต่อประชากร
พลเรือนใดๆ อันเป็นการด�าเนินการตามหรือส่งเสริมนโยบายของรัฐหรือองค์การที่จะกระท�าการโจมตีเช่นว่านั้น
นอกจากนี้ บุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท�าการให้การเกิดการสูญเสียต่อชีวิตและ
ทรัพย์สินของผู้เสียหายก็ได้กระท�าการโดยรู้ถึงการกระท�าการตามแผนการด�าเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายโดยรวมของการด�าเนิน
นโยบายของรัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด กรณีถือว่ามีการแบ่งแยกภาระหน้าที่ระหว่างบุคคลที่สั่งการและบุคคลหรือกลุ่ม
บุคคลผู้ลงมือกระท�าการ กล่าวคือ บุคคลผู้สั่งการก็ดี หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท�าการจึงอาจจะรู้ถึงการด�าเนินนโยบายของ
รัฐบาลในการปราบปรามยาเสพติด และรู้ว่าการกระท�าความผิดอาญาของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระท�าการในแต่ละกรณีเป็นเพียง
ส่วนหนึ่งของการโจมตีหรือการประทุษร้ายต่อประชาชนพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ
ค. ผลการพิจารณา
การกระท�าความผิดอาญาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการด�าเนินนโยบายของรัฐบาลใน
การประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด “เป็นส่วนหนึ่ง” ของการโจมตีหรือการประทุษร้าย (หรือการก่อให้เกิดผลกระทบ)
แก่ประชากรพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบอันเนื่องมาจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะ
ยาเสพติด อีกทั้งผู้กระท�าหรือผู้สั่งการให้กระท�าการย่อมจะต้อง “รู้ถึง” การโจมตีหรือการประทุษร้าย (การก่อให้เกิดผลกระทบ)
ในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบต่อประชากรพลเรือนเช่นนั้น อันเป็นการแบ่งภาระหน้าที่ระหว่างกันเท่านั้น
(๑.๒) การบังคับบุคคลให้สูญหาย (Enforced disappearance)
การบังคับบุคคลให้สูญหาย (Enforced disappearance) เป็นการก่ออาชญากรรมร้ายแรง
(a serious crime) อันเป็นการกระท�าความผิดที่ต้องห้ามตามกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ (customary international
law) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ค.ศ. ๒๐๐๖
(International Convention on the Protection of All Persons from Enforced Disappearance 2006) นอกจากนี้
การกระท�าอันเป็นการบังคับบุคคลให้สูญหายยังอาจมีลักษณะถึงขนาดเป็นการ “ก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (Crime against
humanity) อันเป็นการต้องห้ามตามธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (The Rome Statute of the Inter-
national Criminal Court) อีกด้วย หากเข้าเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ก�าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ ทั้งนี้ กฎหมายหรือกฎเกณฑ์ระหว่าง
418
Article 7 paragraph 2 (a) “Attack directed against any civilian population”.
157
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖