Page 180 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 180
ข. ผลการพิจารณา
เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงต่างๆ เกี่ยวกับการสูญหายของบุคคลเป้าหมาย
จ�านวนหนึ่งซึ่งเป็นประชากรพลเรือนตามเรื่องร้องเรียนต่างๆ ประกอบกับเงื่อนไขของกรณีการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในลักษณะ
ของการบังคับบุคคลให้สูญหายตามนัยแห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจกล่าวได้ว่า นอกจากกรณีการอุ้มหายหรือ
การท�าให้บุคคลเป้าหมายสูญหายไปนั้นจะเป็นกรณีของ “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” อย่างแท้จริงแล้ว การกระท�าเช่นนั้นยังมี
ลักษณะถึงขนาดเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติโดยการบังคับบุคคลให้สูญหาย ตามธรรมนูญกรุงโรมฯ อีกด้วย กล่าวคือ
การกระท�าเช่นนั้น “มิใช่” เป็นเพียงการท�าให้บุคคลสูญหายเป็นการเฉพาะรายหรือเฉพาะกรณี อันเป็นเพียงการกระท�าความผิดอาญา
ทั่วไปเท่านั้น หากแต่เมื่อพิจารณา “บริบทเฉพาะร่วมกัน” ของการด�าเนินการ และผลกระทบของการปฏิบัติการหรือการด�าเนินการ
ของเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคล “ในองค์รวม” ตามพฤติการณ์ที่เกิดขึ้นตามเรื่องร้องเรียนต่างๆ ดังกล่าวข้างต้นแล้ว
อาจกล่าวได้ว่าการปฏิบัติการหรือการด�าเนินการของเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลตามนโยบายในการประกาศสงคราม
ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด และน�ามาซึ่งการสูญหายไปของประชาชนจ�านวนหนึ่งนั้น “มิใช่” เพียงการบังคับบุคคลให้สูญหายเท่านั้น
“หากแต่” ยังมี “ลักษณะพิเศษ” ที่ “ยกระดับ” การบังคับบุคคลให้สูญหายที่เกิดขึ้นนั้นให้มีลักษณะเป็นการก่อ “อาชญากรรม
ต่อมนุษยชาติ” (Crime against humanity) ซึ่งเป็นการก่อ “อาชญากรรมที่ร้ายแรง” และ “ต้องห้ามโดยเด็ดขาด” ตามธรรมนูญ
กรุงโรมฯ อีกด้วย เนื่องจากเข้าเงื่อนไขทั้งสองประการของการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ กล่าวคือ “เป็นส่วนหนึ่ง” ของการ
โจมตีหรือการประทุษร้าย (หรือการก่อให้เกิดผลกระทบ) แก่ประชากรพลเรือนในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ และผู้สั่งการหรือ
ผู้กระท�าการ “รู้ถึง” การโจมตีหรือการประทุษร้าย (การก่อให้เกิดผลกระทบ) ในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบต่อประชากรพลเรือน
เช่นนั้น
๔.๓ สรุปผลการพิจารณาโดยรวม
กล่าวโดยสรุปในส่วนนี้ได้ว่า การก่อให้เกิดการสูญเสียชีวิตหรือการสูญหายต่อประชากรพลเรือนจากการด�าเนิน
นโยบายในการปราบปรามยาเสพติด พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร จึงประกอบด้วยองค์ประกอบส�าคัญสองประการร่วมกันของความผิด
ฐานก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ได้แก่ การกระท�าความผิดอาญาสามัญ (The individual crime) เป็น “ความผิดพื้นฐาน” (เช่น
การฆ่าคนตายโดยเจตนา การบังคับบุคคลให้สูญหาย) และ “บริบทแวดล้อม” ของการกระท�าความผิดอาญาเหล่านั้น อันได้แก่
การโจมตีหรือการประทุษร้ายประชากรพลเรือนในวงกว้างและอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นเสมือนวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายโดยรวม
ที่แท้จริงของการกระท�าความผิดอาญาสามัญเหล่านั้นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่นโยบายของรัฐมุ่งหมายหรือมุ่งประสงค์เป็นส�าคัญ
การด�าเนินนโยบายในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาลที่มี พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
และก่อให้เกิดการโจมตีและการสูญเสียแก่ประชากรพลเรือนในวงกว้าง อย่างเป็นระบบ และเป็นขั้นเป็นตอน จึง “มีลักษณะเป็น”
การก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ทั้งในลักษณะของการฆ่าคนตายโดยเจตนาและในลักษณะของการบังคับบุคคลให้สูญหาย
ตามนัยและเจตนารมณ์แห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ โดยแท้จริง
โดยนัยดังกล่าว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ซึ่งเป็นผู้ก�าหนดนโยบายในการประกาศสงคราม
ต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด และก�าหนดแนวทางในการปฏิบัติการตามนโยบายดังกล่าวที่ขาดความชัดเจน โดยใช้ความรุนแรง และ
ไม่ค�านึงถึงหลักนิติรัฐและการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชากรพลเรือน อันเป็นสาเหตุที่น�ามาซึ่งการสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และ
ทรัพย์สินของผู้เสียหายซึ่งเป็นประชากรพลเรือนอย่างรุนแรงและอย่างกว้างขวาง จึงเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อการก่ออาชญากรรม
ร้ายแรงจากการก�าหนดและการด�าเนินนโยบายดังกล่าว ในฐานก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” ซึ่งเป็นการก่อ “อาชญากรรม
ร้ายแรงระหว่างประเทศ” มิใช่เพียงการกระท�าความผิดอาญาสามัญทั่วไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายภายในของประเทศไทยเท่านั้น
159
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖