Page 134 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 134

• กติการะหว่างประเทศฯ รับรองหลักไม่มีความรับผิด ไม่มีโทษ โดยไม่มีกฎหมายไว้อย่างชัดแจ้ง
                                  360
                  ในข้อ ๑๕ วรรคหนึ่ง ความว่า “บุคคลไม่ต้องรับผิดทางอาญาเพราะกระท�าหรืองดเว้นกระท�าการใดซึ่งในขณะที่กระท�าไม่เป็นความ
                  ผิดอาญาตามกฎหมายภายในหรือกฎหมายระหว่างประเทศ และจะลงโทษให้หนักกว่าโทษที่มีอยู่ในขณะที่ได้กระท�าความผิดอาญา

                  ไม่ได้...”
                                                                                                          361
                                            • ธรรมนูญกรุงโรมฯ ข้อ ๒๒ วรรคหนึ่ง รับรองหลักไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย  โดยก�าหนด
                  ว่า  “บุคคลไม่ต้องรับผิดอาญาตามธรรมนูญศาลฯ  นี้  เว้นแต่  ในขณะที่การกระท�าเกิดขึ้น  การกระท�านั้นเป็นอาชญากรรมที่อยู่ในเขต
                                                       362
                  อ�านาจของศาล” ประกอบกับข้อ ๑๑ วรรคหนึ่ง  ดังที่ก�าหนดว่า “ศาลฯ มีเขตอ�านาจเฉพาะกับอาชญากรรมซึ่งกระท�าขึ้นหลังจาก
                                                                    363
                  ที่ธรรมนูญศาลฯ  นี้  มีผลบังคับใช้”  หลักไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย   ก็ได้รับการรับรองไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ  โดยก�าหนดไว้ในข้อ
                  ๒๓ ความว่า “บุคคลที่ถูกศาลฯ พิพากษาลงโทษต้องได้รับโทษตามที่ธรรมนูญศาลฯ นี้บัญญัติไว้เท่านั้น” ซึ่งย่อมหมายความว่าบุคคล

                  จะต้องรับโทษก็เฉพาะแต่ที่กฎหมาย  ซึ่งในที่นี้ได้แก่ธรรมนูญกรุงโรมฯ  ก�าหนดไว้เท่านั้น  และไม่เกินกว่าที่ธรรมนูญกรุงโรมฯ  ก�าหนด
                                                                                    364
                  นอกจากนี้ ข้อ ๒๔ วรรคหนึ่ง ก็รับรองหลักการไม่มีผลย้อนหลังของกฎหมายเหนือบุคคล  อีกด้วย ดังที่ก�าหนดว่า “บุคคลไม่ต้องรับ
                  ผิดทางอาญาตามธรรมนูญศาลฯ นี้ส�าหรับการกระท�าก่อนที่ธรรมนูญศาลฯ จะมีผลบังคับใช้”
                                            นอกจากนี้  หากในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลอาญาระหว่างประเทศเกี่ยวกับการกระท�าความผิด
                  อาญา  มีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการกระท�าความผิดนั้น  กติการะหว่างประเทศฯ  ได้ก�าหนดให้ศาลต้องใช้บังคับ

                  กฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระท�าความผิด  ดังความที่ก�าหนดไว้ในข้อ  ๑๕  วรรคหนึ่ง  ตอนท้าย  ความว่า  “...หากภายหลังการกระท�า
                  ความผิดนั้น  ได้มีบัญญัติของกฎหมายก�าหนดโทษเบาลง  ผู้กระท�าความผิดย่อมได้รับประโยชน์จากบทบัญญัตินั้น”  ในท�านองเดียวกัน

                  ธรรมนูญกรุงโรมฯ ก็ได้ก�าหนดให้ศาลต้องใช้บังคับกฎหมายที่เป็นคุณแก่ผู้กระท�าความผิดเช่นเดียวกัน ดังที่ก�าหนดไว้ในข้อ ๒๔
                  วรรคสอง ความว่า “ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่บังคับใช้ต่อคดีก่อนที่จะมีค�าพิพากษาถึงที่สุด ให้ใช้กฎหมายที่เป็นคุณบังคับ
                  แก่บุคคลที่ถูกสอบสวน ถูกฟ้องร้อง หรือถูกพิพากษา”

                                            ประการที่สอง หลักการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาว่ากระท�าความผิด
                                            นอกจากหลักไม่มีความผิด  ไม่มีโทษ  โดยไม่มีกฎหมายดังกล่าวข้างต้นแล้ว ผู้ถูกกล่าวหาว่ากระท�า
                  ความผิดยังได้รับการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพอีกประการหนึ่ง กล่าวคือ ตราบใดที่ยังไม่มีค�าพิพากษาของศาลว่าบุคคลนั้นกระท�า

                  ความผิดตามที่ก�าหนดไว้ในกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะกระท�าความผิด  ผู้ถูกกล่าวหาย่อมได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์  หลักการ
                  สันนิษฐานความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาก็ได้รับการรับรองไว้โดยชัดแจ้งทั้งในกติการะหว่างประเทศฯ และในธรรมนูญกรุงโรมฯ เช่นกัน
                                            กติการะหว่างประเทศฯ นอกจากจะได้รับรองความเสมอภาคเท่าเทียมกันของบุคคลในการ

                  พิจารณาของศาลและคณะตุลาการ และในการพิจารณาคดีอาญาซึ่งตนต้องหาว่ากระท�าความผิดแล้ว กติการะหว่างประเทศฯ ยังได้
                                                                                      365
                  รับรองหลักการสันนิษฐานความบริสุทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาไว้โดยชัดแจ้งในข้อ ๑๔ วรรคสอง  ซึ่งก�าหนดว่า “บุคคลทุกคนซึ่งต้องหา
                  ว่ากระท�าความผิดอาญา ต้องมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ตามกฎหมายได้ว่ามีความผิด”
                                                                                              366
                                            • ธรรมนูญกรุงโรมฯ ได้รับรองหลักดังกล่าวไว้ในข้อ ๖๖ วรรคหนึ่ง  ความว่า “บุคคลย่อมได้รับ
                  การสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะพิสูจน์ในศาลฯ ได้ว่ากระท�าความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับ”




                         360
                            ICCPR, Article 15, paragraph 1.
                         361
                             Rome Statute, Article 22 Nullum crimen sine lege.
                         362
                             Rome Statute, Article 11 Jurisdiction ratione temporis.
                         363
                             Rome Statute, Article 23 Nullum crimen sine lege.
                         364
                             Rome Statute, Article 24 Non-retroactivity ratione personae.
                         365
                            ICCPR, Article 14, paragraph 2.
                         366
                             Rome Statute, Article 66 Presumption of innocence.


                                                                                                                   113
                                    ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖
   129   130   131   132   133   134   135   136   137   138   139