Page 131 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 131
343
ศาลมีเขตอ�านาจเฉพาะกับอาชญากรรมซึ่งกระท�าขึ้นหลังจากที่ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลบังคับใช้ ซึ่งได้แก่วันแรกของเดือนถัดจาก
วันที่หกสิบหลังจากวันที่ยื่นสัตยาบันสาร สารให้ความยอมรับ สารให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติสารฉบับที่หกสิบต่อเลขาธิการ
344
สหประชาชาติ ส�าหรับรัฐแต่ละรัฐที่ให้สัตยาบัน ให้ความยอมรับ ให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติต่อธรรมนูญศาลฯ นี้ หลังจาก
การมอบสัตยาบันสาร สารให้ความยอมรับ สารให้ความเห็นชอบหรือภาคยานุวัติสารฉบับที่หกสิบแล้ว ให้ธรรมนูญกรุงโรมฯ มีผลบังคับ
ใช้ในวันแรกของเดือนถัดจากวันที่หกสิบหลังจากการยื่นสัตยาบัน สารให้ความยอมรับ สารให้ความเห็นชอบ หรือภาคยานุวัติสารโดยรัฐ
345
ดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่รัฐเข้าเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมฯ ภายหลังจากที่ธรรมนูญ
กรุงโรมฯ มีผลใช้บังคับแล้ว ศาลอาญาระหว่างประเทศจะใช้เขตอ�านาจของตนเฉพาะกับอาชญากรรมที่กระท�าขึ้นหลังจากที่ธรรมนูญ
กรุงโรมฯ มีผลใช้บังคับกับรัฐนั้น เว้นแต่รัฐนั้นจะยอมรับการใช้อ�านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศส�าหรับอาชญากรรมที่เป็นปัญหา
346
(การยอมรับอ�านาจศาลเฉพาะคดี)
ข.๒) เงื่อนไขเกี่ยวกับผู้กระท�าความผิดอาญาร้ายแรง
การกระท�าอันเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรืออาชญากรรมในลักษณะอื่นที่อยู่ใน
347
เขตอ�านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศ จะต้องกระท�าขึ้นโดย “บุคคลธรรมดา” เท่านั้น ทั้งนี้ บุคคลธรรมดาที่ก่ออาชญากรรม
ที่อยู่ในเขตอ�านาจของศาลอาญาระหว่างประเทศจะต้องรับผิดชอบการกระท�าของตนและต้องรับโทษ (individually responsible
348
and liable for punishment) ตามที่ก�าหนดไว้ในธรรมนูญกรุงโรมฯ ทั้งนี้ ไม่ว่าบุคคลนั้นจะได้กระท�าความผิดอาญาร้ายแรงเช่น
นั้นในลักษณะใดๆ กล่าวคือ เป็นผู้กระท�าความผิดนั้นแต่โดยล�าพัง (as an individual) หรือร่วมกับบุคคลอื่น (jointly with another
person) หรือกระท�าผ่านบุคคลอื่น (through another person) เป็นผู้สั่งการ ขอร้องหรือชักจูงให้มีการประกอบอาชญากรรมซึ่งได้
กระท�าลงแล้วหรือถึงขั้นพยายามกระท�าความผิดแล้ว เป็นผู้ให้การสนับสนุน ยุยง หรือให้ความช่วยเหลือใดๆ เพื่ออ�านวยความสะดวก
349
แก่การกระท�าความผิดเช่นนั้น หรือมีส่วนในการก่ออาชญากรรมเช่นนั้น
อย่างไรก็ตาม บุคคลที่ก่ออาชญากรรมดังกล่าวจะต้องรับผิดและรับโทษก็เฉพาะแต่ใน
350
กรณีที่บุคคลนั้นได้กระท�าการอันเป็นองค์ประกอบส�าคัญของความผิดโดย “มีเจตนาและรู้” ปัญหาที่จะต้องพิจารณา คือ อย่างไร
จึงจะถือว่ามีเจตนา อย่างไรจึงจะถือว่ารู้ ต่อปัญหาประการแรกนั้น ธรรมนูญกรุงโรมฯ ก�าหนดข้อพิจารณาว่าบุคคลมีเจตนาเมื่อใดไว้ใน
สองกรณี ได้แก่ กรณีเจตนาต่อการกระท�า และกรณีเจตนาต่อผลของการกระท�า กรณีเจตนาต่อการกระท�า (in relation to conduct)
351
บุคคลมีเจตนาเมื่อบุคคลนั้น “ตั้งใจ” ที่จะ “เข้าร่วม” ในการกระท�า ส่วนกรณีเจตนาต่อผล (in relation to a consequence)
352
บุคคลมีเจตนาเมื่อบุคคลนั้น “ตั้งใจให้เกิดผล”ดังกล่าว หรือ “รู้ส�านึก” ว่าจะเกิดผลเช่นนั้นขึ้นเป็นเหตุการณ์ปกติ ในขณะที่
343 Rome Statute, Article 11 Jurisdiction ratione temporis, paragraph 1.
“1. The Court has jurisdiction only with respect to crimes committed after the entry into force of this Statute.”.
344
Rome Statute, Article 126 Entry into force, paragraph 1.
345
Rome Statute, Article 126 Entry into force, paragraph 2.
346
Rome Statute, Article 11 Jurisdiction ratione temporis, paragraph 2.
347
Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 1.
“1. The Court shall have jurisdiction over natural persons pursuant to this Statute.”.
348
Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 2.
349
Rome Statute, Article 25 Individual criminal responsibility, paragraph 3.
350
Rome Statute, Article 30 Mental element, paragraph 1.
“1. Unless otherwise provided, a person shall be criminally responsible and liable for punishment for a crime within the jurisdiction of
the Court only if the material elements are committed with intent and knowledge.”.
351
Rome Statute, Article 30 Mental element, paragraph 2 (a).
352 Rome Statute, Article 30 Mental element, paragraph 2 (b).
110
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖