Page 127 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 127
318
ที่เพิ่มเติมขึ้น” (an additional mental element) ซึ่งมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเจตนาทั่วไป (general mens rea) ในการ
กระท�าความผิดอาญาต่างๆ นั้น เช่น การฆ่าคนตายโดยเจตนา การข่มขืนกระท�าช�าเราโดยเจตนา การบังคับบุคคลให้สูญหายโดยเจตนา
ดังที่ก�าหนดไว้ในข้อ ๓๐ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ
ตัวอย่างเช่น ศาลสูงสุดในประเทศแคนาดาเคยวางหลักเรื่ององค์ประกอบเกี่ยวกับเจตนา
(mental element) ไว้ในคดี Regina v. Finta (1994) โดยศาลกล่าวว่า องค์ประกอบเรื่องเจตนาที่จะน�าไปสู่ความรับผิดฐาน
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติจะต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระท�าความผิดได้รู้ถึงข้อเท็จจริงหรือสภาวการณ์อันน�าไปสู่การกระท�าความผิด
ตามองค์ประกอบของความรับผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ 319 ซึ่งการวางหลักของศาลสูงสุดแคนาดาคดีนี้ได้ถูกน�าไปกล่าวอ้างอิง
320
อีกครั้งในคดี Tadić โดยศาล ICTY
ในปี ค.ศ. ๒๐๐๑ ศาล ICTY ได้วางหลักไว้ในคดี The Prosecutor v. Dario Kordić and
Mario Čerkez (2001) ว่า ผู้กระท�าความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต้องเข้าใจถึงบริบทแวดล้อมทั้งหมดของการกระท�าของตน
(understand the overall context of his act) กล่าวคือ ผู้กระท�าความผิดต้องรู้ว่าการกระท�าของตนเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตี
ในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบต่อประชากรที่เป็นพลเรือน ซึ่งเกิดขึ้นจากการด�าเนินงานตามนโยบายหรือแผนนั้น 321
กรณีจึงกล่าวได้ว่า ผู้กระท�าความผิดต้องรู้ว่าการกระท�าของตนได้ก่อให้เกิดการโจมตี
322
อย่างกว้างขวางต่อประชากรที่เป็นพลเรือน และรู้ว่าการกระท�าของตนเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตี อย่างไรก็ตาม การพิสูจน์ถึงการรู้
ของผู้กระท�าความผิดนั้นไม่จ�าเป็นต้องพิสูจน์ไปถึงขนาดว่าผู้กระท�าความผิดได้รู้ถึงลักษณะของการโจมตีทั้งหมด (all characteristics
of the attack) หรือรายละเอียดของแผนหรือนโยบายของรัฐหรือองค์การ (the precise details of the plan or policy of the
State or organization) ด้วยแต่อย่างใด 323
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาข้อ ๗ แห่งธรรมนุญกรุงโรมฯ แล้ว ไม่ปราฏว่าการกระท�า
ความผิดอาญาร้ายแรงในลักษณะอาชญากรรมต่อมนุษยชาติต้องการ “เจตนาพิเศษ” แต่ประการใด ดังนั้น กรณีจึงไม่ต้องพิสูจน์ถึง
324
“มูลเหตุจูงใจ” (motive) ของผู้กระท�าความผิด
เมื่อได้พิจารณาองค์ประกอบความผิดของอาชญากรรมต่อมนุษยชาติดังกล่าวข้างต้นแล้ว
จึงกล่าวได้ว่าองค์ประกอบภายในหรือเชิงเนื้อหาตาม “บริบทเฉพาะ” นี้เองที่เป็นเงื่อนไขส�าคัญที่ท�าให้ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
แตกต่างไปจาก “ความผิดอาญาสามัญทั่วไป” ตามกรอบกฎหมายภายในของแต่ละประเทศ กล่าวคือ การกระท�าอันไร้มนุษยธรรม
318
โปรดดู Kai Ambos, อ้างแล้ว, p. 288.
319
Regina v. Finta, [1994] 1 S.C.R. 701, 819. Darryl Robinson, in “Defining “Crime Against Humanity” at the Rome Conference,”
The American Journal of International Law, Vol. 93, No. 1 (Jan., 1999), p. 51.
320
Prosecutor v. Tadic, Opinion and Judgment, No. IT-94-1-T, para. 658-59, (May 7, 1997), 36 ILM at 946.
321
The Prosecutor v. Dario Kordić and Mario Čerkez (Trial Chamber Judgment) IT-95-14/2 (26 February 2001), para. 185.
322
For a comparable approach, see ICTY, Prosecutor v. Kunarac et al, Case No. IT-96-23 & IT-96-23/1-A, (Appeals Chamber
Judgment), 12 June 2002, para. 102; S. R. Lee, The International Criminal Court, The Making of the Rome Statute, Issues, Negotiations,
Results, (Kluwer Law International, 1999), p. 98, FN 55; G. Werle, Principles of International Criminal Law, Part Four: Crimes Against
Humanity, (TMC Asser Press, 2005), p. 231, para. 669.
323
Pre-Trial Chamber I, The Prosecutor v. Jean-Pierre Bemba Gombo, (Judgment of 15 June 2009), ICC-01/05-01/08, paras 87-88,
in International Criminal Court, “SITUATION IN THE CENTRAL AFRICAN REPUBLIC IN THE CASE OF THE PROSECUTOR v. JEAN-PIERRE BEMBA
GOMBO,” in http://www.icc-cpi.int/iccdocs/doc/doc699541.pdf, August, 2014, p. 30/186.
324 Guenael Mattraux, Crimes against Humanity in the Jurisprudence of the International Criminal Tribunals for the former
Yukoslavia and for Rwanda, Havard International Law Review, Winter 2002, p. 11.
106
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖