Page 125 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 125

เป้าหมายที่นโยบายของรัฐมุ่งหมายหรือมุ่งประสงค์  จึงสังเกตได้ว่าการกระท�าความผิดอาญาในลักษณะต่างๆ  ตามข้อ  ๗  วรรคหนึ่ง
               จึงกระท�าโดยองค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐใช้อ�านาจขององค์กรหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามสายการบังคับบัญชา ใช้กลไกหรือเครื่องมือ

               อันเป็นทรัพยากรของรัฐในการด�าเนินการตามขั้นตอน ทั้งนี้ เนื่องจากการใช้อ�านาจรัฐ กลไกและเครื่องมือของรัฐ ตลอดจนทรัพยากร
               ของรัฐในการกระท�าความผิดต่างๆ นั้นย่อมจะก่อให้เกิดผลกระทบที่ “รุนแรงยิ่งกว่า” การกระท�าที่มีลักษณะเป็นครั้งคราว (Random)
               ทั้งนี้  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายของรัฐได้  “ดียิ่งกว่า”  การกระท�าเป็นเอกเทศหรือไม่เกี่ยวเนื่องกับนโยบายของรัฐ  โดยนัย

               ดังกล่าว หากการโจมตีหรือการประทุษร้ายในวงกว้างมุ่งหมายการกระท�าที่ส่งผลกระทบ “เชิงปริมาณ” การโจมตีหรือการประทุษร้าย
               อย่างเป็นระบบจึงมุ่งเน้นที่ “คุณภาพ”ของการกระท�าการ

                                                 ประเด็นปัญหาส�าคัญประการหนึ่งที่จะต้องพิจารณา  คือ  ความในข้อ  ๗  วรรคหนึ่งของ
               ธรรมนูญกรุงโรมฯ ใช้ถ้อยค�าว่า “การโจมตีในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ” (a widespread or systematic attack) ท�าให้เกิดการ
               ตีความว่าการกระท�าความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจะต้องเป็นการโจมตีครบตามองค์ประกอบทั้งสองประการ  (conjunctive)

               คือ  เป็นการโจมตีอย่างกว้างขวาง  (widespread)  และอย่างเป็นระบบ  (systematic)  หรือเป็นการโจมตีตามองค์ประกอบอย่างใด
               อย่างหนึ่งเพียงประการเดียว (disjunctive) เท่านั้น

                                                 ต่อประเด็นปัญหาดังกล่าว  ศาลอาญาระหว่างประเทศ  (ICC)  ได้ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับ
               ถ้อยค�าว่า “widespread” or “systematic” ไว้ว่า การบัญญัติถ้อยค�าดังกล่าวในข้อ ๗ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ เป็นการบัญญัติแบบ
               “เปิดทางเลือก” (presented in the alternative) ไว้ส�าหรับการใช้และการตีความกฎหมาย โดยศาลเห็นว่าหากการโจมตีดังกล่าว
                                                                                                                311
               เกิดขึ้นในวงกว้าง (widespread) กรณีก็ไม่จ�าต้องพิจารณาต่อไปว่าการโจมตีนั้นเกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ (systematic) ด้วยหรือไม่
               ดังนั้น  หากข้อเท็จจริงปรากฏว่าการโจมตีต่อประชากรที่เป็นพลเรือน  เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นในวงกว้าง  ศาลก็จะจ�ากัดอ�านาจในการ
               ตรวจสอบข้อเท็จจริงไว้เฉพาะกรณีนี้เพียงกรณีเดียวเท่านั้น

                                                 ดังจะเห็นว่าหากตีความให้การโจมตีหรือการประทุษร้ายต่อประชากรพลเรือนต้องเข้า
               องค์ประกอบทั้งสองประการ  (conjunctive)  คือ  เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นในวงกว้าง  (widespread)  และกระท�าอย่างเป็นระบบ
               (systematic)  ย่อมเป็นการตีความกฎหมายที่จ�ากัดขอบเขตมากจนเกินไป  ในขณะเดียวกัน  หากตีความการโจมตีหรือการประทุษร้ายว่า

               ต้องเป็นไปตามองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งเพียงประการเดียว  (disjunctive)  ก็อาจเป็นการตีความแบบขยายขอบเขตมากจนเกินไป
               ด้วยเหตุนี้ กฎหมายจึงบัญญัติไว้ในลักษณะแบบเปิดทางเลือก (disjunctive) โดยก�าหนดให้การโจมตีนั้นต้องมีที่มาจากการก�าหนด

               นโยบายจากผู้มีอ�านาจ (authority) ซึ่งการก�าหนดเช่นนี้ย่อมมีส่วนส�าคัญในการบรรเทาความไม่เหมาะสมที่เกิดขึ้นจากการตีความ
                                                               312
               แบบเปิดทางเลือกซึ่งท�าให้การตีความถูกจ�ากัดให้แคบลงได้นั่นเอง  ตัวอย่างเช่น การกระท�าอันเป็นการรังควาน (prosecution) ที่จะ
               ถือเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ  ต้องเป็นการกระท�าอันมีลักษณะเป็นการโจมตีโดยตรงต่อประชากรที่เป็นพลเรือน  ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง

               กับการกระท�าที่หลากหลาย  (multiple  acts)  และเป็นการกระท�าตามนโยบายของรัฐ  (policy  element)  และการโจมตีนั้นต้อง
               เกิดขึ้นในวงกว้างหรือกระท�าอย่างเป็นระบบ  (widespread  or  systematic)  ซึ่งหากอัยการ  (prosecutor)  เลือกที่จะพิสูจน์

               ข้อเท็จจริงซึ่งเป็นองค์ประกอบแต่เฉพาะเรื่อง  “เป็นการโจมตีที่เกิดขึ้นในวงกว้าง  (widespread)”  เพียงอย่างเดียว  การพิสูจน์
               องค์ประกอบเรื่อง  “เป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ  (systematic)”  ย่อมไม่มีความจ�าเป็นต้องกล่าวถึง  ทั้งนี้  เพราะมีองค์ประกอบ
               เรื่องนโยบาย (policy element) เป็นข้อพิสูจน์เพื่อถ่วงดุลน�้าหนักความน่าเชื่ออยู่แล้ว ในทางกลับกัน หากอัยการประสงค์จะพิสูจน์

               ให้เห็นองค์ประกอบว่า “เป็นการโจมตีอย่างเป็นระบบ” (systematic) แต่เพียงอย่างเดียว การพิสูจน์องค์ประกอบว่า “เป็นการโจมตี






                       311
                          Pre-Trial Chamber I, Katanga decision, ICC-01/04-01/07-717, para. 412; see also ICTY, Prosecutor v Kunarac et al, Case No.
               IT-96-23 & IT-96-23/1-A, “Appeals Chamber Judgment”, 12 June 2002, para. 93.
                       312  Darryl Robinson, “Defining “Crime Against Humanity” at the Rome Conference,” The American Journal of International Law,
               Vol. 93, No. 1 (Jan., 1999), p. 51.



               104
               ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖
   120   121   122   123   124   125   126   127   128   129   130