Page 121 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 121
ประเด็นที่สอง
การโจมตีหรือประทุษร้ายประชากรที่เป็นพลเรือนจ�าเป็นต้องมีนโยบายของรัฐหรือ
องค์การหรือไม่
หากพิจารณาจากมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง (a) แห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ ซึ่งบัญญัติว่า “การโจมตี
ซึ่งกระท�าต่อพลเรือน หมายถึง การกระท�าหลายครั้งตามวรรคหนึ่ง ต่อพลเรือนที่เป็นผลมาจากนโยบายของรัฐหรือองค์การ” จะเห็น
ได้ว่าการกระท�าความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติจ�าเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากนโยบายของรัฐหรือองค์การ
อย่างไรก็ดี หากพิจารณาจากธรรมนูญจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจส�าหรับ
อดีตประเทศยูโกสลาเวีย (ICTY) จะพบว่าธรรมนูญมิได้ก�าหนดให้นโยบายของรัฐ (state policy) เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความ
รับผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ซึ่งแตกต่างไปจากการก�าหนดในธรรมนูญแห่งกรุงโรม แต่ในทางปฏิบัติของศาล ICTY พบว่า
ศาลเองก็ไม่ได้ปฏิเสธถึงการมีอยู่ขององค์ประกอบในเรื่องดังกล่าว เพราะแม้ว่าธรรมนูญจะไม่ได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจน แต่ศาลก็
ยังเห็นว่าการกระท�าหรือการโจมตีโดยตรงต่อประชากรที่เป็นพลเรือน จะเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าการกระท�าดังกล่าวได้รับการสนับสนุน
จากนโยบายหรือแผนที่ก�าหนดขึ้นโดยรัฐหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งอยู่ในตัว โดยศาล ICTY ได้วางหลักการส�าคัญเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไว้
ดังนี้
(๑) แม้ธรรมนูญจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศเฉพาะกิจส�าหรับอดีตประเทศ
ยูโกสลาเวีย (ICTY) จะมิได้ก�าหนดให้นโยบายของรัฐ (state policy) เป็นองค์ประกอบส่วนหนึ่งของความรับผิดฐานอาชญากรรม
ต่อมนุษยชาติ แต่ศาลได้กล่าวถึงความส�าคัญขององค์ประกอบเรื่องนโยบายของรัฐอย่างชัดเจนในคดี The Prosecutor v Dragan
Nikolić (1995) โดยศาลอธิบายว่าแม้ธรรมนูญ ICTY จะไม่ได้กล่าวถึงนโยบายของรัฐไว้อย่างชัดเจนก็ตาม แต่เป็นที่เข้าใจกันว่าการ
กระท�าความผิดฐานดังกล่าวย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้จากการด�าเนินงานของปัจเจกชนคนหนึ่งคนใดแต่เพียงล�าพัง (they cannot be the
work of isolated individuals alone) 288
(๒) นโยบายอาจเกิดขึ้นจากการก�าหนดของรัฐหรือองค์การใดองค์การหนึ่ง โดยศาล
ICTY ยืนยันว่า อาชญากรรมต่อมนุษยชาติไม่จ�าเป็นต้องเกี่ยวข้องกับนโยบายที่ก�าหนดขึ้นในระดับรัฐเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม นโยบาย
289
เช่นว่านี้ก็ไม่อาจเกิดขึ้นจากอ�านาจของบุคคลใดบุคคลหนึ่งได้โดยล�าพัง การก�าหนดนโยบายที่จะน�าไปสู่ความรับผิดฐานอาชญากรรม
ต่อมนุษยชาติ อาจเกิดขึ้นได้จากการก�าหนดนโยบายขององค์การใดองค์การหนึ่งซึ่งครอบครองเขตพื้นใดพื้นหนึ่งตามความเป็นจริง
(de facto control over territory) โดยในคดี The Prosecutor v. Dusko Tadić (๑๙๙๗) ศาลได้กล่าวว่า ความรับผิดฐาน
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ไม่จ�าเป็นต้องอยู่ในรูปของนโยบายของรัฐซึ่งกระท�าต่อประชากรที่เป็นพลเมืองอย่างเป็นทางการ (formal
state policy) ในกรณีที่มีการกระท�าอันเป็นการโจมตีพลเรือนโดยองค์การอื่นซึ่งมิใช่รัฐ (non-state actors) การพิสูจน์ให้เห็นว่า
องค์การอื่นซึ่งมิใช่รัฐได้เข้าควบคุมเขตพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งเป็นการเฉพาะตามความเป็นจริง ย่อมถือว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่า
มีการกระท�าความผิดฐานอาชญากรรมต่อมนุษยชาติที่เกิดขึ้นจาก “นโยบายที่ไม่เป็นทางการ” (informal policy) ขององค์การอื่นซึ่ง
290
มิใช่รัฐ (non-state actors) นั้นแล้ว
288
The Prosecutor v Dragan Nikolić (Trial Chamber Review of the Indictment Pursuant to Rule 61 of the Rules of Procedure and
Evidence) IT-94-2-R61 (20 October 1995), para. 26.
289
Prosecutor v. Nikolic, Review of the Indictment Pursuant to Rule 61, No. IT-94-2-R61, para. 26 (Oct 20, 1995).
290
The Prosecutor v. Dusko Tadić (Trail Chamber Opinion and Judgment) IT-94-I-T (7 May 1997) para 654-55.
100
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖