Page 113 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 113
กลุ่มที่หนึ่ง
การกระท�าความผิดอาญาร้ายแรงฐานฆ่าคนตายหรือความผิดที่คล้ายคลึงกัน (Crime of
murder type) อันได้แก่ การฆาตกรรม การท�าลายล้าง การกระท�าทรมาน การบังคับให้สูญหาย อาชญากรรมทางเพศต่อสตรี หรือ
การกระท�าที่กระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์หรือที่ไร้มนุษยธรรมอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกันโดยมีเจตนาที่จะก่อให้เกิดความ
ทุกข์ทรมานอย่างร้ายแรงหรือบาดเจ็บอย่างสาหัสต่อร่างกายหรือต่อสุขภาพจิตหรือสุขภาพกาย เช่น การท�าร้ายร่างกายอย่างสาหัส
ร้ายแรง การบังคับท�าหมัน การบังคับให้เปลือยกาย การประทุษร้ายต่อศพ
กลุ่มที่สอง
การกระท�าความผิดอาญาร้ายแรงฐานข่มเหงรังควาน หรือกลั่นแกล้ง (Crime of
persecution type) อันได้แก่ การท�าการข่มเหงรังควานหรือกลั่นแกล้งอย่างใดๆ โดยมีสาเหตุเกี่ยวกับเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว หรือ
เหตุทางการเมือง เช่น การเนรเทศหรือบังคับให้โยกย้ายถิ่นฐาน การกระท�าอันเป็นการเหยียดผิว การห้ามหรือจ�ากัดสิทธิการศึกษา
ต่อประชากรพลเรือนบางกลุ่ม การห้ามการประกอบอาชีพ การใช้วิทยุชุมชนเพื่อปลูกฝังความเกลียดชัง (Hate Speech) หรือกรณี
245
เหตุการณ์การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และเผาบ้านเรือนของชนเผ่าตุสซี (Tutsi) ในประเทศรวันดา ในปี ค.ศ. ๑๙๙๔ ทั้งนี้ อาชญากรรมใน
กลุ่มที่สองนี้จะต้องอาศัยเงื่อนไขเกี่ยวกับการแบ่งแยกด้านเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว หรือการเมือง เป็นองค์ประกอบของการกระท�าความ
ผิดด้วย ดังที่ก�าหนดไว้โดยชัดแจ้งในข้อ ๗ วรรคหนึ่ง (ช) ความว่า “การรังควาน (Persecution) กลุ่มหรือหมู่คณะใดโดยเฉพาะ อัน
เนื่องมาจากสาเหตุทางการเมือง เชื้อชาติ ชนชาติ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ศาสนา เพศ ตามที่นิยามไว้ในวรรค ๓ หรือสาเหตุอื่นซึ่ง
เป็นที่ยอมรับอย่างสากลว่าไม่สามารถกระท�าได้ตามกฎหมายระหว่างประเทศ” 246 ซึ่งแตกต่างไปจากอาชญากรรมในกลุ่มที่หนึ่งที่
ไม่ต้องการเงื่อนไขประการนี้เป็นองค์ประกอบความผิดแต่อย่างใด 247
โดยนัยดังกล่าว การกระท�าที่เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามนัยแห่งข้อ ๗ วรรคหนึ่ง
จะต้องเป็นการกระท�าความผิดในลักษณะใดลักษณะหนึ่งดังที่ก�าหนดไว้นั้น “เป็นพื้นฐาน” เสียก่อน ซึ่งล้วนแต่เป็นการกระท�าความผิด
ที่มีผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อความปลอดภัยหรือความมั่นคงในชีวิต ร่างกาย จิตใจ หรือสุขอนามัยของบุคคล อีกทั้งการกระท�าความผิด
อันเป็นพื้นฐานดังกล่าวจะต้องครบองค์ประกอบความผิดในตัวเองของความผิดอาญาสามัญทั่วไปแล้ว เช่น ความผิดฐานฆ่าคนตาย
โดยเจตนา ข่มขืนกระท�าช�าเรา หรือท�าร้ายร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรืออย่างร้ายแรง ทั้งนี้ ข้อ ๗ วรรคสองแห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ
ได้ก�าหนด “นิยาม” หรือความหมายของการกระท�าความผิดในแต่ลักษณะดังกล่าวข้างต้นไว้โดยชัดแจ้งด้วยแล้ว อย่างไรก็ตาม การ
กระท�าความผิดเช่นนั้นจะเข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติได้ยังจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบภายในอันเป็นองค์ประกอบ
เชิงเนื้อหา “เพิ่มเติมต่อยอด” ขึ้นอีกด้วย
ข. องค์ประกอบภายใน: องค์ประกอบเชิงเนื้อหา
หากองค์ประกอบภายนอกหรือองค์ประกอบเชิงรูปแบบอันเกี่ยวกับการกระท�าความผิด
ที่ต้องห้ามดังที่ก�าหนดไว้โดยชัดแจ้งในข้อ ๗ วรรคหนึ่ง ของธรรมนูญกรุงโรมฯ ไม่มีความสลับซับซ้อนและย่อมพิจารณาตามกรอบของ
ความผิดอาญาสามัญทั่วไปได้ องค์ประกอบภายในของการกระท�าความผิดเช่นนั้นอันจะท�าให้จัดการกระท�าเช่นนั้นเป็นอาชญากรรม
ต่อมนุษยชาติมีความสลับซับซ้อนอย่างมาก ซึ่งเป็นองค์ประกอบเชิงเนื้อหาตาม “บริบทเฉพาะ” ของอาชญากรรมระหว่างประเทศ
ลักษณะนี้เลยทีเดียว
เมื่อได้พิจารณานิยามของ “Crime of humanity” หรือ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ”
ดังกล่าวข้างต้นแล้ว จะเห็นได้ว่าองค์ประกอบภายในของการกระท�าความผิดที่จัดเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ ประกอบด้วย
245 โปรดดู http://www.unitedhumanrights.org/genocide/genocide_in_rwanda.htm (สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๕๗);
246
พิจารณาประกอบนิยามของค�าว่า “การรังควาน” (“Persecution”) ตามที่ก�าหนดไว้ในข้อ ๗ วรรคสอง (ช) ซึ่งหมายความว่า “การลิดรอนสิทธิ
เสรีภาพขั้นพื้นฐานโดยเจตนาและรุนแรง โดยขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศ ด้วยเหตุผลของความเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มหรือของหมู่คณะ” (“the inten-
tional and severe deprivation of fundamental rights contrary to international law by reason of the identity of the group or collectivity”).
247
ความเห็นในแนวทางเดียวกัน โปรดดู พันต�ารวจตรี กฤษฎิ์ สถิตย์วัฒนานนท์, อ้างแล้ว, หน้า 9.
92
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖