Page 109 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 109
นอกจากค�าแถลงสรุปข้อเท็จจริงแล้ว คณะกรรมการยังจะต้องแนบค�าแถลงเป็นลายลักษณ์อักษรและบันทึกค�าแถลงด้วยวาจาของรัฐภาคี
ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายไว้ในรายงานอีกด้วย และคณะกรรมการจะต้องส่งรายงานการพิจารณาไปให้รัฐภาคีที่เกี่ยวข้องทั้งหลายนั้น 235
อย่างไรก็ตาม การรับและการพิจารณาเรื่องร้องเรียนโดยคณะกรรมการดังกล่าวข้างต้น
236
จะมีผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อรัฐภาคีจ�านวนห้ารัฐได้ท�าการประกาศยอมรับอ�านาจของคณะกรรมการแล้ว
(๒) อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ (Crime against humanity) ตามธรรมนูญแห่งกรุงโรมว่าด้วยศาล
อาญาระหว่างประเทศ (Rome Statute of the International Criminal Court)
ธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (ธรรมนูญกรุงโรมฯ) 237 เป็นสนธิสัญญา (Treaty)
238
ประเภทหนึ่ง ซึ่งประเทศภาคีต่างๆ ได้ร่วมกันลงนามเพื่อการจัดตั้งและก�าหนดเขตอ�านาจศาลอาญาระหว่างประเทศ (International
Criminal Court) ขึ้น เพื่อพิจารณาการกระท�าอันเป็นความผิดอาญาที่จัดว่าเป็น “อาชญากรรมที่ร้ายแรง” ซึ่งมีมิติเกี่ยวด้วย “ภัย
คุกคามความมั่นคงต่อมนุษยชาติ” อันเป็นความผิด “อาชญากรรมระหว่างประเทศ” และมี“ลักษณะเฉพาะ”ที่ “เกินกรอบ” ทั้งต่อ
บทกฎหมายภายใน และต่อเขตอ�านาจของศาลภายในของแต่ละประเทศ ในอันที่จะสามารถพิจารณาคดีและลงโทษผู้ก่ออาชญากรรม
239
ร้ายแรงเช่นนั้นได้ เนื่องจากเป็นการกระท�าที่กระทบต่อ “กฎหมายมนุษยชนระหว่างประเทศ” และสิทธิมนุษยชน (International
235
CAT, Article 41, paragraph 1 (h) (i) (ii).
236
CAT, Article 41, paragraph 2.
237
ธรรมนูญกรุงโรมฯ กระท�าขึ้นเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๙๘ และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๐๒ (พ.ศ. ๒๕๔๕)
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของธรรมนูญกรุงโรมฯ โปรดดู Magaret M. de Guzmann, Crimes against humanity, Temple University Law Review, 2010,
p. 5.
238
ข้อ ๒ วรรคหนึ่ง (a) แห่งอนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา (Vienna Convention on the Law of Treaties 1969) นิยามค�าว่า
สนธิสัญญาไว้ว่า “สนธิสัญญา” หมายความว่าข้อตกลงระหว่างประเทศที่ได้ท�าขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างรัฐต่างๆ และอยู่ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศ ไม่ว่า
จะได้ท�าขึ้นเป็นฉบับเดียวหรือสองฉบับผนวกเข้าด้วยกัน และไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างใดก็ตาม” (“Treaty” means an international agreement concluded
between States in written form and governed by international law, whether embodied in a single instrument or in two or more related
instruments and whatever its particular designation) โปรดดู ประสิทธิ์ เอกบุตร, กฎหมายระหว่างประเทศ เล่ม ๑: สนธิสัญญา, พิมพ์ครั้งที่ ๔ แก้ไขเพิ่มเติม
(กรุงเทพมหานคร: ส�านักพิมพ์วิญญูชน, ๒๕๕๑), หน้า ๖๗.
239
ค�าอธิบายประกอบธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (The Rome Statute Explanatory Memorandum) อธิบายว่า
“อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” เป็น “การกระท�าความผิดที่น่ารังเกียจอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นการกระท�าที่กระทบอย่างร้ายแรงต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ หรือ
ท�าให้เกิดความอัปยศอดสูอย่างรุนแรงต่อคุณค่าความเป็นมนุษย์หรือลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของบุคคลหนึ่งหรือหลายคนลง การกระท�าความผิดเหล่านี้มิใช่
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเอกเทศหรือเป็นครั้งคราว หากแต่เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายของรัฐบาล (แม้ว่าผู้กระท�าความผิดมิจ�าต้องแสดงตัวตนว่าเกี่ยวข้องกับนโยบายนี้
อย่างไร) หรือการกระท�าอันโหดร้ายอย่างกว้างขวางที่รัฐบาลหรือองค์กรที่มีอ�านาจตามข้อเท็จจริงยอมรับหรือให้อภัยได้ อย่างไรก็ตาม การฆ่าคน การก�าจัด
การทรมาน การข่มขืน การกลั่นแกล้งด้วยเหตุทางการเมือง ชาติพันธุ์ หรือศาสนา ตลอดจนการกระท�าอย่างอื่นอันมีลักษณะไร้มนุษยธรรม จะเข้าข่ายเป็น
อาชญากรรมต่อมนุษยชาติก็เฉพาะต่อเมื่อการกระท�าเช่นว่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของการด�าเนินการในวงกว้างหรืออย่างเป็นระบบ การกระท�าอ้นไร้มนุษยธรรมที่เกิดขึ้น
เป็นเอกเทศอาจเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงหรือเป็นอาชญากรรมสงครามได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แต่ยังไม่ถึงขั้นที่จะเป็นอาชญากรรมต่อ
มนุษยชาติ ในทางตรงกันข้าม ปัจเจกชนอาจมีความผิดก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ แม้เพียงได้กระท�าความผิดฐานหนึ่งหรือสองฐานความผิด (ดังที่ก�าหนดไว้ในข้อ
๗ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ) หรือได้กระท�าความผิดเช่นนั้นฐานความผิดหนึ่งต่อพลเรือนจ�านวนหนึ่ง เมื่อการกระท�าความผิดนั้นๆ เป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนการด�าเนิน
การอันมิชอบของกลุ่มบุคคลหนึ่งที่มีความเชื่อมโยงกับผู้กระท�าความผิดนั้น (เช่น เนื่องจากบุคคลทั้งหลายเหล่านั้นผูกพันในการปฏิบัติการที่มีอาวุธในฝ่ายเดียวกัน
หรือเนื่องจากบุคคลเหล่านั้นเป็นฝ่ายต่างๆ ของแผนการด�าเนินการร่วมกันหรือเพื่อเหตุผลที่คล้ายคลึงกัน ผลที่ตามมา ก็คือ ในกรณีที่ปัจเจกชนคนหนึ่งหรือมากกว่า
นั้นไม่ถูกกล่าวหาว่าวางนโยบายหรือด�าเนินการตามนโยบายที่ไร้มนุษยธรรม หากแต่เพียงการกระท�าความผิดที่รุนแรงเป็นการเฉพาะ การจะพิจารณาว่ากรณีดังกล่าว
เข้าข่ายเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติหรือไม่ อาจใช้เกณฑ์ในการพิจารณา ดังนี้ ควรดูการกระท�าอันโหดร้ายเหล่านั้นประกอบกับบริบทแวดล้อมด้วยและตรวจสอบ
ว่าการกระท�าเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายโดยรวมหรือแผนการด�าเนินการอันไร้มนุษยธรรมหรือไม่ หรือในทางตรงกันข้าม การกระท�าเหล่านั้นเป็นการกระท�าที่
ป่าเถื่อนหรือไร้ความปรานีที่เป็นเอกเทศหรือเป็นครั้งคราวหรือไม่” โปรดดู http://en.wikipedia.org/wiki/Crimes_against_humanity
88
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖