Page 10 - รายงานการศึกษา ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. 2546
P. 10
การก�าหนดและการด�าเนินนโยบายในการท�าสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖
เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ เนื่องจากเป็นการกระท�าที่ก่อให้เกิดการกระท�าความผิดอาญาในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่ง การบังคับบุคคลให้สูญหาย การฆ่าคนตาย การยึดทรัพย์สินโดยมิชอบ ซึ่งการกระท�าความผิดอาญาต่างๆ เหล่านี้ล้วน
“เป็นส่วนหนึ่ง” ของ “การโจมตี” หรือ“การประทุษร้าย” ต่อ “ประชากรพลเรือน” (attack directed against any civilian
population) “ในวงกว้าง” (widespread) หรือ “อย่างเป็นระบบ” (systematic) อันเป็นผลมาจากนโยบายของรัฐ และ
ผู้กระท�าการ “รู้ถึง” การโจมตีหรือการประทุษร้ายเช่นนั้น
อนึ่ง ภายใต้สภาพการณ์ดังกล่าว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผู้ก�าหนดและประกาศนโยบายดังกล่าว ในฐานะนายกรัฐมนตรี
และผู้ด�ารงต�าแหน่งทางการเมืองในขณะนั้น ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดการกระท�าอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
อย่างกว้างขวาง ก่อให้เกิดการสูญเสียทั้งต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชากรพลเรือนอย่างกว้างขวาง ทั้งเมื่อได้รับ
รายงานการสูญเสียเช่นนั้นแล้ว มิได้ยับยั้งสั่งการให้มีการแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น หากแต่ปล่อยให้มีการกระท�าอันเป็นการละเมิด
สิทธิมนุษยชนและปล่อยให้เกิดการสูญเสียเช่นนั้นต่อไปโดยเจตนา
การก่ออาชญากรรมร้ายแรงระหว่างประเทศดังกล่าวเป็นไปในท�านองเดียวกับการท�าสงครามกับยาเสพติดของรัฐบาล
นายฟิลิเป้ คาลเดรอน แห่งประเทศเม็กซิโก ในช่วงระหว่างปี ค.ศ. ๒๐๐๖ - ๒๐๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๙ - ๒๕๕๕) ที่ก่อให้เกิดการบังคับ
ประชากรพลเรือนผู้บริสุทธิ์ให้สูญหายอย่างกว้างขวางและเป็นจ�านวนมหาศาล ซึ่งการกระท�าดังกล่าวที่เกิดขึ้นกับประชากร
พลเรือนในหลายๆ มลรัฐทั่วประเทศ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการปฏิบัติการโจมตีหรือประทุษร้ายต่อประชากรพลเรือนอย่างกว้าง
ขวางและอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลนายเฟลิเป้ คาลเดรอน ในการท�าสงครามกับยาเสพติด การกระท�า
การในการปฏิบัติการตามนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลเป็น “การบังคับบุคคลให้สูญหาย” (enforced disappearance) และมี
ลักษณะเป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติตามนัยแห่งข้อ ๗ ของธรรมนูญกรุงโรมฯ ด้วยในขณะเดียวกัน
สรุป การก�าหนดและการด�าเนินนโยบายท�าสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติดของรัฐบาล เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖
ก่อให้เกิดการกระท�าความผิดอาญาลักษณะต่างๆ ซึ่งกระท�าขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีหรือการประทุษร้ายต่อประชากร
พลเรือนในวงกว้างและอย่างเป็นระบบ จึงมีลักษณะเป็นการก่อ “อาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” (Crime against humanity) ตาม
นัยข้อ ๗ แห่งธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ
(๑) พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ก�าหนดและประกาศนโยบายในการท�าสงครามต่อสู้
เพื่อเอาชนะยาเสพติด ใช้วาทกรรมที่เป็นการชี้น�า กระตุ้น ปลุกเร้า และกดดันเจ้าหน้าที่ของรัฐให้ใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาดใน
การด�าเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายดังกล่าว สั่งการและก�าหนดกระบวนการด�าเนินการและการจัดตั้งหน่วยงาน
ในระดับต่างๆ เพื่อด�าเนินการตามนโยบายดังกล่าว ก�าหนดเงื่อนไขต่างๆ เกี่ยวกับการปฏิบัติการเพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐน�าไป
ปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามนโยบายดังกล่าวให้มากที่สุด และกระท�าโดยรู้ถึงผลที่จะเกิดขึ้นจากนโยบาย
ดังกล่าวที่ตนก�าหนด ดังที่ได้เคยกล่าวไว้ว่า “แม้การด�าเนินนโยบายดังกล่าวจะมีผู้ที่ต้องบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตบ้างก็เป็นเรื่อง
ปกติ” อีกทั้งเมื่อได้รับรายงานผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการด�าเนินนโยบายดังกล่าวแล้ว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ก็มิได้ด�าเนินการ
หรือสั่งการใดๆ เพื่อระงับยับยั้งผลกระทบหรือปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่ตนมีอ�านาจสั่งการให้ระงับยับยั้งการด�าเนิน
การดังกล่าวได้ ท�าให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชากรพลเรือนอย่างรุนแรงและอย่างกว้างขวาง พ.ต.ท. ทักษิณ
ชินวัตร จึงต้องรับผิดชอบในฐานะหัวหน้ารัฐบาลและผู้ก�าหนดนโยบายดังกล่าวที่ก่อให้เกิดการกระท�าอันเป็นการก่ออาชญากรรม
ต่อมนุษยชาติ
ฉ
ปัญหาและผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนจากนโยบายของรัฐบาลในการประกาศสงครามต่อสู้เพื่อเอาชนะยาเสพติด เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖