Page 93 - รายงานวิจัย เรื่อง ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
P. 93

บทที่ ๕



               ย่อมหมายถึงการเปลี่ยนแนวคิดและวิธีการปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัย  จากแนวคิดการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม  (Humanitarianism)

               ไปสู่แนวคิดการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม  (Participatory  Development)  การเปลี่ยนแนวคิดดังกล่าวนี้  จ�าเป็นที่จะต้องศึกษาหาข้อมูล
               เพิ่มเติมว่าผู้ลี้ภัยทั้งหมดนั้นมีผู้ที่มีความรู้ ภูมิปัญญา ศักยภาพ ตลอดจนประสบการณ์ในการประกอบอาชีพ ระดับการศึกษา อายุ
               ระบบเครือญาติ อัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์ การนับถือศาสนา มีภูมิล�าเนาอยู่ที่ใด ทั้งนี้ เพื่อจะใช้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการจ�าแนกผู้ลี้ภัยและ

               จัดให้มีการอบรม เพิ่มพูนความสามารถบนพื้นฐานของศักยภาพและความสนใจ ข้อมูลเหล่านี้อาจจะมีอยู่ในฐานข้อมูลที่มีการ
               ส�ารวจลักษณะประชากร (Profiling) โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงอยู่บ้างแล้ว จึงควรน�ามาใช้เพื่อการพัฒนาศักยภาพของผู้ลี้ภัยในการก�าหนด
               แผนยุทธศาสตร์ในการส่งคืนผู้ลี้ภัยกลับถิ่นฐานของ  UNHCR  นอกจากนี้  ยังควรท�าการศึกษาถึงความรู้และทักษะของผู้ลี้ภัยในด้าน

               การทอผ้า  งานหัตถกรรม  จักสาน  แกะสลัก  การสร้างเครือข่าย  ความรู้ในด้านการรักษาพยาบาล  และการใช้พืชสมุนไพร  รวมทั้ง
               ความสามารถในการใช้ภาษาชาติพันธุ์  และความรู้ในด้านประวัติศาสตร์ท้องถิ่น  คณะผู้วิจัยเองได้พบว่า  ผู้ลี้ภัยจ�านวนหนึ่งได้เรียนรู้

               ด้วยตนเองที่จะท�าการเกษตรแบบปลอดสารพิษ สามารถปลูกผักเลี้ยงเด็กนักเรียนในค่ายอพยพได้จ�านวนหนึ่งและยังส่งขายในตลาด
               แม่สอด ในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๗-๒๕๕๘ มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้มีจัดการอบรมปลูกผักปลอดสารพิษให้แก่ผู้ลี้ภัยจ�านวนหนึ่ง ซึ่งน่าจะ
               น�าไปหาเลี้ยงชีพได้ในอนาคต องค์กร TBC ADRA ZOLA ก็จัดให้มีการอบรมด้านอาชีพต่างๆ เช่นเดียวกัน โครงการเหล่านี้น่าจะเป็น

               ประโยชน์ในการส่งเสริมให้ผู้ลี้ภัยสามารถพึ่งตนเองได้  และเท่ากับเป็นการเตรียมตัวในด้านการประกอบอาชีพเมื่อเดินทางกลับถิ่นฐาน
               บ้านเกิดของตน

                           ๕.๒ นโยบายต่อผู้ลี้ภัยที่หลากหลาย
                               ผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัยมีความหลากหลายในด้านต่างๆ ทั้งที่อยู่ในวัยกลางคน หรือวัยสูงอายุ และกลุ่มที่เป็นคนหนุ่มสาว

               ผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกมีแนวโน้มที่จะกลับคืนสู่ถิ่นฐานเดิมของตนเอง เนื่องจากยังมีญาติพี่น้องที่ยังอยู่ในหมู่บ้านเดิมที่จากมาคนเหล่านี้
               ส่วนใหญ่ยังมีความคิดเกี่ยวกับ  “บ้านเกิด”  (Homeland)  บางคนมีภูมิปัญญาที่เป็นประโยชน์ต่อการฟื้นฟูและพัฒนาบ้านเกิดของตนเอง

               แต่ส�าหรับผู้ลี้ภัยวัยหนุ่มสาวที่เติบโต  หรือเกิดในค่ายผู้ลี้ภัย  คนกลุ่มนี้มักไม่มีความผูกพันกับ  “บ้าน”  ของพวกเขาในประเทศพม่า/
               เมียนมาร์หรืออาจจะไม่มีบ้านของตนเองในประเทศพม่า/เมียนมาร์เสียด้วยซ�้า พวกเขาสัมพันธ์และคุ้นเคยกับชาวต่างชาติที่เข้าไป
               ท�างานในค่ายผู้ลี้ภัย  ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษหรือเข้าเรียนใน  Migrant  School  หรือ  Bible  School  มีความสามารถด้านภาษา

               หลายภาษา  พวกเขารู้จักประเทศไทยมากกว่าประเทศพม่า/เมียนมาร์  รู้จักบริบทของพื้นที่ชายแดน  และมีทักษะในการด�ารงชีวิตใน
               บริเวณชายแดน  (Border  Skills)  คุ้นเคยกับสภาวะพหุวัฒนธรรม/พหุชาติพันธุ์  หลายคนได้มีโอกาสได้รับการอบรม  หรือท�างานกับ
               องค์กรเอกชนระหว่างประเทศที่ให้ความส�าคัญกับสิทธิมนุษยชน  เสรีภาพ  ประชาธิปไตย  บางคนได้มีโอกาสเรียนทางไกลในระดับ

               มหาวิทยาลัย และบางคนได้สมัครเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในประเทศไทย คนเหล่านี้จะเป็นก�าลังส�าคัญส�าหรับอนาคตของประเทศ
               พม่า/เมียนมาร์ ดังนั้น จึงน่าจะพิจารณาเลือกให้ท�างานการพัฒนาพื้นที่ชายแดน ท�าหน้าที่ในการสอนและฝึกอบรมคนกลุ่มต่าง ๆ
               ให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา  เช่น  เยาวชนอาสาสมัครการพัฒนา  หรือกลุ่มพัฒนาชุมชนชายแดน  หรือปฏิบัติงานในค่ายผู้ลี้ภัยเพื่อให้เข้าใจ

               ถึงแนวคิดการพัฒนาอย่างมีส่วนร่วม ให้ความส�าคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรสิ่งแวดล้อม รวมทั้งฟื้นฟูภูมิปัญญาท้องถิ่น
                               นอกจากนี้  ในบรรดาผู้ลี้ภัยในค่ายผู้ลี้ภัย  ยังมีกลุ่มผู้ลี้ภัยที่เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่นับถือศาสนาอิสลาม  จ�าแนกเป็น

               กลุ่มย่อยหลายกลุ่ม  เช่น  มุสลิมพม่า  มุสลิมกะเหรี่ยง  มุสลิมจากรัฐอาระกัน  และกลุ่มโรฮิงญา  เมื่อพิจารณาจากสาเหตุการลี้ภัยของคน
               กลุ่มนี้ จะเห็นได้ว่ามาจากความคับข้องใจในการถูกเลือกปฏิบัติ ถูกกลั่นแกล้งจากชาวพม่า และหวาดกลัวที่จะต้องเผชิญกับความรุนแรง
               ที่มาจากชาวพุทธกลุ่มชาตินิยมหัวรุนแรง  ต่อประเด็นนี้  UNHCR  ได้ระบุปัญหาผู้ลี้ภัยชาวมุสลิมไว้ในแผนยุทธศาสตร์การส่งกลับคืน

               ถิ่นฐานแต่ยังไม่ให้ความส�าคัญในเรื่องนี้อย่างเพียงพอ ในระหว่างที่ด�าเนินงานวิจัยนี้ได้มีปรากฏการณ์กระแสชาตินิยมชาติพันธุ์-ศาสนา
               (Ethno-religious Nationalism) ในพม่า/เมียนมาร์ ทวีความเข้มข้นมากขึ้น และน�าไปสู่การใช้ความรุนแรงต่อกลุ่มมุสลิมในพม่า

               โดยเฉพาะต่อกลุ่มโรฮิงญาในหลายๆ  พื้นที่  ยิ่งกว่านั้นรัฐบาลพม่า/เมียนมาร์ยังไม่ยอมรับชาวโรฮิงญาเป็น  “พลเมือง”  ของประเทศ
               และยังปล่อยกลุ่มต่อต้านชาวมุสลิมที่มีพระสงฆ์เป็นแกนน�าสามารถปฏิบัติการได้อย่างเสรี  ส�าหรับผู้ลี้ภัยที่เป็นชาวมุสลิมที่มีอยู่จ�านวนมาก
               พอสมควรในค่ายผู้ลี้ภัยบ้านนุโพ  และบ้านแม่หละ  พวกเขามีความหวาดกลัวที่จะเดินทางกลับไปประเทศต้นทาง  โดยเฉพาะในพื้นที่



             80                                                                                                                                                                                                                             81
             ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว                                                                                                                           ทางเลือกเชิงนโยบายการแก้ไขปัญหาผู้ลี้ภัยในค่ายพักพิงชั่วคราว
   88   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98