Page 162 - รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
P. 162

จากการถูกจัดให้อยู่ในบัญชีกลุ่มที่ ๓ (Tier ๓) ตั้งแต่ปี ๒๕๕๗ ต่อเนื่องมาถึงปี ๒๕๕๘ ภายหลัง
                   จากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  (คสช.)  ได้ทําการรัฐประหารยึดอํานาจการปกครองเมื่อวันที่ ๒๒

                   พฤษภาคม ๒๕๕๗ ได้มีความก้าวหน้าในการแก้ไขป๎ญหาการค้ามนุษย์ อย่างน้อย ๔ ประการ กล่าวคือ

                          ๔.๕.๑ ความก้าวหน้าระดับนโยบายและกลไกจัดการปัญหา
                          ในการประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๕๗ วาระร่างพระราชบัญญัติปูองกัน

                   และปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... คณะรัฐมนตรีได้มีมติ ๒ เรื่อง คือ
                   (สํานักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, ม.ป.ป.)

                          ๑. อนุมัติหลักการร่างพระราชบัญญัติปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ...) พ.ศ. ... มี
                   สาระสําคัญเป็นการกําหนดมาตรการสร้างแรงจูงใจให้ผู้พบเห็นเหตุการค้ามนุษย์แจ้งข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่
                   ของรัฐ และคุ้มครองพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริตและเที่ยงธรรม กําหนดมาตรการริบ
                   ทรัพย์ที่ได้จากการกระทําความผิดค้ามนุษย์ กําหนดมาตรการเพิ่มอํานาจทางปกครองให้แก่พนักงาน
                   เจ้าหน้าที่ตามกฎหมายในการเข้าไปตรวจตรา และหากพบการกระทําความผิดค้ามนุษย์ รวมทั้งกําหนด

                   มาตรการเพิ่มบทลงโทษสูงขึ้น ตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เสนอ และให้ส่ง
                   สํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นของกระทรวงการคลังเกี่ยวกับ
                   องค์ประกอบคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อการปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ตามร่างมาตรา ๙

                   ควรกําหนดให้สอดคล้องกับระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยการขอจัดตั้ง การดําเนินงาน และการ
                   ประเมินผลการดําเนินงานทุนหมุนเวียน พ.ศ. ๒๕๕๗ ข้อ ๑๑ รวมทั้งการกําหนดกรอบการยกเว้นค่าปรับ
                   ตามพระราชบัญญัตินี้ ให้เพิ่มข้อความ “ตามที่กระทรวงการคลังอนุญาตให้นําไปใช้ได้โดยไม่ต้องนําส่งคลัง
                   เป็นรายได้แผ่นดิน”  ไปประกอบการพิจารณา แล้วส่งให้คณะกรรมการประสานงานสภานิติบัญญัติ

                   แห่งชาติพิจารณา ก่อนเสนอสภานิติบัญญัติแห่งชาติต่อไป
                          ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ได้ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) เรียกว่า พระราชบัญญัติปูองกัน
                   และปราบปรามการค้ามนุษย์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๓๒ ตอนที่
                   ๓๔ ก เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ โดยให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นมาตรา ๑๓/๑ แห่งพระราชบัญญัติ

                   ปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑  “มาตรา ๑๓/๑ ผู้ใดแจ้งแก่พนักงานเจ้าหน้าที่หรือ
                   พนักงานฝุายปกครองหรือตํารวจให้ทราบว่ามีการกระทําความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าได้กระทําโดย
                   สุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญา”
                          ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติปูองกันและปราบปรามการค้า

                   มนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน ““มาตรา ๑๕ ให้มีคณะกรรมการปูองกันและปราบปราม
                   การค้ามนุษย์ เรียกโดยย่อว่า “คณะกรรมการ ปคม.” ประกอบด้วย นายกรัฐมนตรีเป็นประธานกรรมการ
                   รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการ ปกค. เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการ

                   กระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและ
                   กีฬา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รัฐมนตรีว่าการ
                   กระทรวงมหาดไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และผู้ทรงคุณวุฒิ
                   จํานวนสี่คน ซึ่งนายกรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์โดดเด่นเป็นที่ประจักษ์ด้านการ
                   ปูองกัน การปราบปราม การบําบัดฟื้นฟูและการประสานงานระหว่างประเทศเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ไม่

                   น้อยกว่าเจ็ดปี ด้านละหนึ่งคน โดยต้องเป็นภาคเอกชนไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งเป็นกรรมการ และมี

                                                            ๑๔๒
   157   158   159   160   161   162   163   164   165   166   167