Page 157 - รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
P. 157

(๙) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ พระราชบัญญัตินี้มีผล
                   บังคับใช้เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๑ สาระสําคัญของพระราชบัญญัติฯนี้ สามารถสรุปประเด็นหลักๆ  ได้

                   ๔ ประการ ดังนี้
                          ๑. นิยามความหมายที่ครอบคลุม
                           มีการให้คํานิยามและขอบเขตของการค้ามนุษย์ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มเปูาหมาย ครอบคลุมลักษณะ
                   ของการกระทําความผิด โดยเป็นคํานิยามที่สอดคล้องไปกับพิธีสารเพื่อการปูองกัน ปราบปรามและลงโทษ

                   การกระทําผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์โดยเฉพาะสตรีและเด็ก โดยครอบคลุมกลุ่มผู้เสียหายที่เป็นชายด้วย
                   ดังนั้น กฎหมายไทยจะมีความพร้อมในการประสานงานในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และ
                   สามารถดําเนินการไปตามกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องได้
                          ๒. เพิ่มอํานาจในการบังคับใช้กฎหมาย

                          มีการระบุอัตราโทษฐานความผิดการค้ามนุษย์ที่ชัดเจน เพื่อแก้ไขจุดบกพร่องในพระราชบัญญัติ
                   เดิม ทั้งนี้จะสังเกตได้ว่าชื่อกฎหมายจะตัดคําว่า “มาตรการ” ออกไป เพื่อให้น้ําหนักกับการลงโทษมากขึ้น
                   โดยสามารถบังคับใช้ลงโทษได้ทั้งผู้กระทําผิดที่เป็นบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล ได้ทั้งทางแพ่งและอาญา
                   โดยจําแนกระวางโทษดังนี้ กระทําแก่บุคคลอายุเกิน ๑๘ ปี มีโทษจําคุกตั้งแต่ ๔ – ๑๐  ปี และปรับตั้งแต่

                   ๘๐,๐๐๐ – ๒๐๐,๐๐๐ บาท กระทําแก่บุคคลอายุเกิน ๑๕ – ๑๘ ปี มีโทษจําคุกตั้งแต่ ๖ – ๑๒ ปี และ
                   ปรับตั้งแต่ ๒๐,๐๐๐  –  ๒๔๐,๐๐๐ บาท และกระทําแก่บุคคลอายุไม่เกิน ๑๕ ปี มีโทษจําคุกตั้งแต่ ๘  –
                   ๑๕ ปี และปรับตั้งแต่ ๑๖๐,๐๐๐  –  ๓๐๐,๐๐๐ บาท ในกรณีที่เป็นนิติบุคคล ต้องระวางโทษปรับตั้งแต่

                   ๒๐๐,๐๐๐ – ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้ในกรณีที่ผู้กระทําผิดเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐต้องระวางโทษเป็น
                   ๒ เท่าของโทษที่กําหนดไว้สําหรับความผิดนั้น  และถ้าเป็นสมาชิกในคณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ
                   ทุกคณะตามพระราชบัญญัติ นี้ จะต้องระวางโทษเป็น ๓ เท่า
                          การให้อํานาจแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ ในการสืบสวนสอบสวน ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จะ
                   ประกอบด้วยพนักงานฝุายปกครองหรือตํารวจชั้นผู้ใหญ่ รวมทั้งข้าราชการซึ่งดํารงตําแหน่งไม่ต่ํากว่าระดับ

                   สาม โดยรัฐมนตรีแต่งตั้งจากผู้ที่มีคุณสมบัติตามที่กําหนดในกฎกระทรวง ซึ่งพนักงานเจ้าหน้าที่จะมีอํานาจ
                   เพิ่มมากขึ้น เช่น ตามมาตรา ๒๗ สามารถมีหนังสือเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคําหรือส่งเอกสารหลักฐานได้
                   สามารถเข้าตรวจตัวบุคคลที่มีเหตุอันควรเชื่อว่าอาจเป็นผู้เสียหาย ตรวจค้นยานพาหนะหรือเข้าไปใน

                   เคหสถาน หรือสถานที่ใดๆ เพื่อตรวจค้น ยึดหรืออายัด หรือเพื่อช่วยผู้เสียหาย โดยตามมาตรา ๒๙ อาจจัด
                   ให้ผู้เสียหายอยู่ในการคุ้มครองเป็นการชั่วคราวไม่เกิน ๒๔ ชั่วโมง และในกรณีที่มีความจําเป็นให้สามารถ
                   ร้องขอต่อศาลในการขออนุญาตให้การคุ้มครองเป็นการชั่วคราวได้ โดยศาลจะอนุญาตได้ไม่เกิน ๗ วัน โดย
                   กําหนดเงื่อนไขใดๆ ก็ได้ และให้จัดอยู่ในสถานที่ดูแลซึ่งไม่ใช่ห้องขัง อย่างไรก็ตาม นอกจากนี้ตามมาตรา

                   ๓๐ พนักงานเจ้าหน้าที่ยังสามารถยื่นคําขอต่อผู้มีอํานาจเพื่อให้มีคําสั่งให้ได้มาซึ่งเอกสารหรือข้อมูล
                   ข่าวสารได้ ทั้งนี้ กฎหมายได้กําหนดขอบเขตของพนักงานเจ้าหน้าที่ไว้โดยจะต้องดําเนินการตาม
                   หลักเกณฑ์การปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในกฎหมายเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ในการใช้อํานาจดังกล่าวไม่ว่าจะเป็น
                   การขออนุญาตต่อศาล การรายงานผู้บังคับบัญชา อีกทั้งยังต้องแสดงบัตรประจําตัวของพนักงานเจ้าหน้าที่

                   ด้วย
                          นอกจากนี้ยังให้อํานาจพนักงานอัยการสามารถนําผู้เสียหายหรือพยานบุคคลเพื่อขอสืบพยานไว้
                   ก่อนได้ โดยระบุการกระทําความผิดและเหตุแห่งความจําเป็น ทั้งนี้ เพื่อเร่งรัดให้กระบวนการยุติธรรม
                   ดําเนินไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ตามมาตรา ๓๑  โดยเหตุผลในการขอให้มีการสืบพยานไว้ก่อตามกฎหมาย


                                                            ๑๓๗
   152   153   154   155   156   157   158   159   160   161   162