Page 143 - รายงานฉบับสมบูรณ์ โครงการวิจัยการป้องกันและแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ของประเทศไทย และความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน
P. 143
ขึ้น ต้องยอมรับอย่างตัวเองเราไปอ่านกฎหมาย ก็จะไม่เข้าใจ เหมือนกัน อาจจะต้องช่วยตีความให้มันง่าย
กับผู้ปฏิบัติจริงๆ หรือว่าตัวผู้ปฏิบัติจริงทํางานนี้จนเชี่ยวชาญแล้วไม่ใช้โยกไปโน่น โยกไปนี้ มันอาจจะต้อง
มีการวางมาตรฐานให้พนักงานจะต้องสร้างขวัญกําลังใจกับพนักงาน แบบนี้ก็ควรจะให้เขาด้วย มีการ
แก้ป๎ญหาจริงๆ คือกฎหมายมันมีเยอะ มันมีออกมาใหม่ๆ แล้วมันก็ต้องอาศัยทนายความช่วย มันอาจจะใช้
พรบ. ปูองกันและปราบปรามการค้ามนุษย์อย่างเดียวไม่ได้ รัฐเองควรจะคํานึงถึงประโยชน์ของเด็กเป็น
สําคัญ แล้วมีกฎหมายอะไรที่เกี่ยวข้องได้บ้าง ก็ควรที่จะบอกข้าราชการที่อยู่ในฝุายที่ปฏิบัติได้รู้ เรื่องค้า
มนุษย์ไม่ใช่การเอา พ.ร.บ.ค้ามนุษย์อย่างเดียวมาจับได้ทั้งหมด คนที่ทํางานจะต้องได้รู้ว่ามีกฎหมายอะไรที่
เกี่ยวข้องบ้าง ข้าราชการที่ปฏิบัติงานต้องได้รับข้อมูลใหม่ๆ แล้วก็ต้องมีการกํากับดูแลประเมินด้วยว่าเขามี
ความรู้ใหม่ ไม่ใช่ว่าเอาความรู้ใหม่ไปใช่แสวงหาเพื่อผลประโยชน์อะไรอย่างนี้ เราก็ต้องมีการประเมิน
ติดตามด้วย
ทีมสหวิชาชีพก็ควรที่จะไม่ใช่เฉพาะที่มีในหน่วยงานภาครัฐเท่านั้น ควรเป็นทีมสหวิชาชีพที่ทํางาน
ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน และควรมีเรื่องของการสนับสนุนงบประมาณในการปูองกัน
ปราบปรามการค้ามนุษย์ให้กับหน่วยงานเอกชนด้วย เพราะก่อนหน้านี้งบประมาณได้เทไปที่หน่วยงาน
ภาครัฐค่อนข้างเยอะ
อีกหนึ่งคือพอมีคําสั่งให้ยึดทรัพย์ผู้ค้ามนุษย์รายใหญ่ ช่วงกว่าจะยึดได้ต้องรอคําสั่ง คนที่ถูกคําสั่ง
เขาก็โยกย้ายถ่ายเททรัพย์สินไปหมดแล้ว ไม่เหลืออะไร มันไม่ควรเป็นอย่างนี้ ซึ่งถ้าเรานําเงินนี้มาใช้ใน
การปูองกันปราบปรามช่วยเหลือผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์มันจะใช้ได้มากกว่าการที่เรานําเงินภาษีของ
ประชาชนคนไทยเราไปช่วยมากกว่าด้วยซ้ํา เพราะยังไงมันก็คือเงินที่ได้มาจากน้ําพักน้ําแรงหรือการถูก
หลอกของเขา รัฐก็มีเรื่องของนโยบายที่ให้การคุ้มครองหรือสวัสดิการให้กับตัวบุคคลที่เป็นผู้เสียหายหรือ
เป็นพยานมากกว่านี้ มีการบังคับใช้อย่างจริงจัง เช่นการเอาผิดกับนายหน้าที่อยู่ประเทศต้นทาง
อีกอย่างหนึ่งคือการให้สวัสดิการแก่เหยื่อค้ามนุษย์ เขาต้องอยู่นาน ช่วงที่เขาอยู่นานก็ต้องมีงาน
ให้เขาทํา ซึ่งกฎหมายไทยก็ให้อํานาจไว้ตามมาตรา ๓๗ แต่ว่าการปฏิบัติจริงๆก็มีช่องว่าง คือพอระยะ
เวลานานความปลอดภัยของตัวเด็กมันก็จะไม่มีอะไรที่ให้เขาทําได้ แต่จริงๆเราสามารถหาช่องทางให้เด็กที่
อยู่ในช่วงนี้ให้สามารถทํางานได้ มากกว่านั้น คิดว่ามีหน่วยงานที่รับรองที่ให้เขาไปทํางานที่เขาไว้ใจ
มากกว่าด้วยซ้ํา มันก็จะทําให้เด็กเหล่านี้ยอมอยู่เป็นพยานมากขึ้น เพราะว่าช่วงหลังๆเด็กไม่ค่อยจะอยู่
เพราะมีการสอนกันมาว่าให้พูดไปเลยว่าไม่ใช่ๆ ก็จะได้กลับบ้าน มันก็จะเป็นไปในลักษณะนั้น ดังนั้นการ
ดําเนินการเอาผิดก็จะไม่ได้มีความหมายอะไรเลย ก็คุณไม่ได้ Support ที่จะให้เขาอยู่ได้ เด็กบอกกับเรา
เองเลยว่า พี่หนูจะอยู่ทําไมก็พ่อแม่หนูรอใช้เงินอยู่ หนูอยู่นี้ ปี ๒ ปี มีเงินส่งกลับบ้าน แต่ถ้ากลับบ้านหนู
ไม่มีอะไร เราต้องมีอะไร Support ให้กับเขาด้วย เพราะเขาคือผู้เสียหาย
ประเด็นสุดท้ายที่ AAT อยากกล่าวถึง คือ ประเทศไทยไม่ค่อยมีบทลงโทษกับผู้ซื้อ เอาผิดผู้ซื้อ
ทั้งๆที่จริงๆแล้วหลายๆประเทศเขามีและก็มีความสําคัญ อย่างเวลาเราเข้าไปใช้บริการ ทั้งที่จริงๆแล้วคัด
แยกมาทีหลัง เขาก็มีเป็นเด็กอยู่หลายคน ที่จริงผู้ซื้อก็ผิด แต่ด้วยกระบวนการคือมันซับซ้อนแล้วก็เยอะ
เอาแต่มุ่งไปที่ตัวคนขายบริการ ทั้งๆที่จริงแล้วเขาก็เป็นผู้เสียหาย เพราะฉะนั้นคิดว่าสิ่งที่ควรปรับปรุงคือ
เรื่องของผู้ซื้อด้วย เพราะว่าเท่าที่ผ่านมาทั้งหมด การค้ามนุษย์ถ้าไม่มีผู้ซื้อก็ไม่มีผู้ขาย แต่เรามองข้ามส่วน
ของผู้ซื้อไป
๑๒๓