Page 24 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 24
ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำาคุกตั้งแต่
หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาท หรือทั้งจำาทั้งปรับ” ซึ่งการกระทำาดังกล่าว
เป็นการกระทำาที่ทำาให้เกิดความเสื่อมเสียกับผู้ต้องหาหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีการพิสูจน์ว่าบุคคลนั้นเป็น
ผู้กระทำาความผิด
ประเด็นที่ ๓ ความเห็นและแนวทางในการหาวิธีการทดแทนการนำาชี้ที่เกิดเหตุ
ประกอบคำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เจ้าหน้าที่ตำารวจหรือเจ้าหน้าที่กรมสอบสวน
คดีพิเศษ (DSI) สามารถแถลงผลงานโดยให้ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติการณ์ของการกระทำาความผิด
ซึ่งไม่จำาเป็นที่จะต้องระบุ ชื่อ–สกุล หรือภูมิหลังของผู้ต้องหา เพื่อมิให้เกิดผลกระทบในสิทธิความเป็น
ส่วนตัวของผู้ต้องหา หากกรณีที่เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบางรายที่กระทำาการละเมิดสิทธิมนุษยชน
สื่อมวลชนก็จะไม่ให้ความร่วมมือและไม่ไปทำาข่าว
ในส่วนของข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๑ ได้มีการกำาหนดจริยธรรมนี้ขึ้น โดยพิจารณาจากแนวปฏิบัติของสื่อมวลชนใน
ต่างประเทศเท่าที่สอดคล้องกับการปฏิบัติในประเทศไทย การปฏิบัติของสื่อมวลชนในอดีตที่ผ่านมา
และเพื่อให้เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ซึ่งสภาการหนังสือพิมพ์
แห่งชาติมีหน้าที่ในการดูแลและกวดขันสื่อมวลชนที่ปฏิบัติหน้าที่ด้านหนังสือพิมพ์ เพื่อให้ปฏิบัติเป็น
ไปตามข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ฯ โดยในส่วนของวิทยุและโทรทัศน์ได้มี
การจัดตั้งสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และมีการกำาหนดข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและ
โทรทัศน์ไทย ว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ เพื่อเป็นการดูแล
สื่อมวลชนให้ปฏิบัติถูกต้องตามจริยธรรมหลักแห่งวิชาชีพและเป็นการป้องกันมิให้เกิดการละเมิดสิทธิ
ของบุคคลอื่น
โดยข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๑ และข้อบังคับสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพข่าววิทยุ
และโทรทัศน์ไทย พ.ศ. ๒๕๕๓ ได้เคยมีผู้เสนอว่าควรที่จะบัญญัติเป็นกฎหมาย แต่สื่อมวลชนในด้าน
วิชาชีพหนังสือพิมพ์ วิทยุและโทรทัศน์ เห็นว่า หากกำาหนดเป็นกฎหมายจะเป็นการใช้อำานาจรัฐซึ่ง
เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง และอาจทำาให้สื่อมวลชนเสียเสรีภาพในการประกอบ
วิชาชีพ โดยเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย ซึ่งสภา
การหนังสือพิมพ์แห่งชาติและสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นโดยความ
ตกลงของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมวลชน ซึ่งหากสื่อมวลชนได้กระทำาการที่ขัดต่อข้อบังคับฯ โดยความ
ปรากฏขึ้นแก่คณะกรรมการหรือประชาชนได้มีการร้องเรียน โดยหน่วยงานต้นสังกัดของสื่อมวลชนที่
กระทำาความผิดจะต้องดำาเนินการสอบสวน และมีบทลงโทษตามความเหมาะสม จากนั้นจะมีการแจ้ง
ต่อสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติและสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เพื่อทราบ สภาการ
หนังสือพิมพ์แห่งชาติได้มีการจัดตั้งขึ้นในปี ๒๕๔๐ จนถึงปัจจุบัน โดยมีผู้ยินยอมรับการลงโทษ
ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๙๕ ซึ่งมีบางรายก็ไม่ยอมรับการลงโทษ และมีบางรายที่ไม่ปฏิบัติตามและได้ลาออก
23
สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน