Page 29 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 29

จำาเลย  การที่เจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมต้องรวบรวมพยานหลักฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำาเลยได้
                 กระทำาความผิดอย่างไร  โดยผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การรับสารภาพหรือให้การปฏิเสธทั้งในชั้นสอบสวน

                 และในชั้นศาล  ดังนั้น การรับสารภาพเป็นเพียงการให้การเบื้องต้นที่จะนำาไปสู่การรวบรวมพยาน
                 หลักฐานอื่นเพื่อประกอบในการพิจารณาลงโทษ  เจ้าหน้าที่ตำารวจจะต้องมีวิธีการหรือกระบวนการ

                 โดยสมบูรณ์ที่จะรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ โดยต้องเคารพสิทธิของผู้ต้องหา  หากพิจารณาจาก
                 กระบวนการพิจารณาของศาลประกอบกับสิทธิของผู้ต้องหา  การนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้

                 ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพเป็นการกระทำาที่เกินกว่าความจำาเป็นที่พึงต้องกระทำา ซึ่งสิ่งที่เจ้าหน้าที่
                 ตำารวจพึงกระทำา คือ การรวบรวมพยานหลักฐานในคดีให้ชัดเจน โดยรัฐต้องกำาหนดมาตรการอื่นเพื่อ

                 ให้ประชาชนเกิดความเกรงกลัวและไม่กระทำาความผิด และไม่จำาเป็นที่จะต้องแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
                 โดยไม่ควรนำาชื่อเสียงของปัจเจกบุคคลที่ถูกกล่าวหามาเป็นเครื่องมือในการป้องปรามการกระทำา

                 ความผิด เนื่องจากจะก่อให้เกิดผลกระทบกับผู้ต้องหาอย่างยิ่ง ซึ่งทิศทางในการดำาเนินการของเจ้าหน้าที่
                 ตำารวจจะต้องรวบรวมพยานหลักฐานให้รัดกุมและชัดเจน และต้องมิให้เกิดผลกระทบต่อสิทธิในชีวิต

                 และร่างกาย รวมทั้งชื่อเสียงของผู้ต้องหาด้วย  โดยวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้พยานหลักฐาน พฤติการณ์
                 หรือพฤติเหตุ และพยานหลักฐานแวดล้อมอื่น  ปัจจุบันมีเทคโนโลยีต่างๆ ที่สามารถนำามาใช้ได้

                 ซึ่งไม่จำาเป็นที่จะต้องนำาตัวผู้ต้องหาไปในที่เกิดเหตุ และในบางคดีที่เจ้าหน้าที่ตำารวจมีไม่เพียงพอใน
                 การดูแลความปลอดภัย อาจทำาให้เกิดการรุมประชาทัณฑ์และส่งผลกระทบต่อชีวิตและร่างกายของ

                 ผู้ต้องหาได้

                               ประเด็นที่ ๒  ผลกระทบจากการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบ
                 คำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ในมิติสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม

                               ในกระบวนการพิจารณาคดี ประเทศที่ใช้ระบบกฎหมายแบบ Common Law

                 คณะลูกขุนจะเป็นผู้พิจารณาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาจะพิจารณาประเด็นข้อกฎหมาย หากคณะลูกขุน
                 ได้รับทราบข้อเท็จจริงจากสื่อมวลชน ถ้าสื่อมวลชนมีความโน้มเอียง อาจทำาให้เชื่อว่าบุคคลนั้นได้กระทำา

                 ความผิดจริง และจะส่งผลกระทบต่อการพิจารณาของคณะลูกขุนได้  ดังนั้น บางประเทศที่ใช้ระบบ
                 ลูกขุนได้มีการกำาหนดข้อห้ามเกี่ยวกับกรณีดังกล่าว

                               ส่วนประเทศไทย ไม่ได้แยกการพิจารณาในเรื่องของข้อเท็จจริงกับข้อกฎหมาย โดย

                 ผู้พิพากษาเป็นองค์คณะในการพิจารณา  หากผู้พิพากษา อัยการ หรือผู้ที่มีส่วนร่วมในกระบวนการ
                 ยุติธรรม เมื่อได้รับทราบข้อเท็จจริงต่างๆ จากสื่อมวลชน อาจเกิดความโน้มเอียงในความเชื่อครั้งแรก
                 ที่ปรากฏ  ดังนั้น การแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนอาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาขององค์คณะผู้พิจารณา

                               สิ่งสำาคัญที่ต้องพิจารณา คือ ในฐานะที่ผู้ต้องหาหรือจำาเลยซึ่งเป็นผู้ทรงสิทธิ  การที่

                 ผู้ต้องหาปรากฏต่อสาธารณะว่า บุคคลนั้นเป็นผู้กระทำาความผิดเสมือนถูกพิพากษาหรือถูกลงโทษแล้ว
                 หากภายหลังศาลได้พิพากษาตัดสินว่าบุคคลนั้นมิได้เป็นผู้กระทำาผิด เมื่อบุคคลนั้นได้รับความเสียหาย

                 หรือเสื่อมเสียชื่อเสียงจากการนำาเสนอข่าวแล้ว หน่วยงานใดจะเป็นผู้แก้ไขเยียวยาต่อความเสื่อมเสีย
                 หรือความเสียหายที่เกิดขึ้น  และสื่อมวลชนได้มีการเสนอข่าวเพื่อเป็นการเยียวยาผู้เสียหายหลังจากที่



            28

            สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
            กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   24   25   26   27   28   29   30   31   32   33   34