Page 20 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 20

การจัดทำาแผนประทุษกรรมเป็นเรื่องของการสืบสวนสอบสวน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำารวจ
                    ได้มีโอกาสศึกษากลวิธีหรือเป็นแบบอย่างในการกระทำาความผิดต่างๆ ของผู้กระทำาผิด  และเป็น

                    แนวทางในการสืบสวนสอบสวนเพื่อหาตัวผู้กระทำาผิด อีกทั้งอาจทำาให้ผู้ที่จะกระทำาผิดได้เห็นภาพ
                    ของผู้ที่ถูกจับกุมและทำาให้เกิดความเกรงกลัวขึ้นได้

                                  ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐  และประมวล
                    กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้มีการกำาหนดเกี่ยวกับการรับฟังพยานหลักฐานต่างๆ มากขึ้น

                    ดังนั้น การนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพอาจจะไม่มีน้ำาหนักมากนัก เพราะศาลอาจต้องรับฟัง
                    พยานหลักฐานในด้านอื่นประกอบด้วย

                                  สำาหรับการนำาตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว  เห็นว่า ควรจะนำาเสนอเฉพาะความคืบหน้า
                    ของคดี โดยไม่จำาเป็นที่จะต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับพยานหลักฐาน หรือนำาตัวผู้ต้องหามาร่วม

                    แถลงข่าวด้วย เพราะอย่างน้อยสังคมจะได้รับรู้ว่า หน่วยงานของรัฐยังให้ความสนใจ ไม่ได้เพิกเฉย
                    โดยไม่เห็นด้วยกับการที่นำาตัวผู้ต้องหามาแถลงข่าว เพราะเป็นการนำาตัวผู้ต้องหามาประจาน อีกทั้ง

                    ยังก่อให้เกิดผลกระทบต่อตัวผู้ต้องหาและบุคคลรอบข้างด้วย


                              ๓)  การประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านกฎหมายและ
                    การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ครั้งที่ ๙/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม ๒๕๕๔


                                  ผู้แทนสำ�นักง�นศ�ลยุติธรรม ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการนำาชี้ที่เกิดเหตุ
                    ประกอบคำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สรุปได้ ดังนี้

                                  ประเด็นที่ ๑  ศาลให้น้ำาหนักในการรับฟังพยานหลักฐานเกี่ยวกับการนำาตัวผู้ต้องหา
                    ในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน เพื่อลงโทษจำาเลย

                    เพียงใด  ซึ่งต้องพิจารณาว่า การนำาตัวผู้ต้องหาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ เกิดขึ้นใน
                    ขั้นตอนใด  ถ้าเป็นขั้นตอนในชั้นจับกุม โดยต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

                    มาตรา ๘๔ วรรคท้าย บัญญัติว่า “ถ้อยคำาใดๆ ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ หรือพนักงาน
                    ฝ่ายปกครองหรือตำารวจในชั้นจับกุมหรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ  ถ้าถ้อยคำานั้นเป็นคำารับสารภาพของ

                    ผู้ถูกจับว่า ตนได้กระทำาความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน  แต่ถ้าเป็นถ้อยคำาอื่น จะรับฟังเป็น
                    พยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือตาม

                    มาตรา ๘๓ วรรคสอง แก่ผู้ถูกจับแล้วแต่กรณี”  ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน คือ
                                       ๑.  คำาให้การรับสารภาพของจำาเลยในชั้นจับกุมจะรับฟังเป็นพยานหลักฐาน

                    ลงโทษจำาเลยไม่ได้ เนื่องจากจำาเลยมีสิทธิที่จะให้การที่ไม่เป็นปรปักษ์ต่อตนเอง และ
                                       ๒.  ถ้อยคำาอื่น (นอกจากคำาให้การรับสารภาพ) หากผู้ต้องหาได้รับการแจ้ง

                    สิทธิแล้ว และผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้กระทำาความผิดจริง โดยถ้อยคำาอื่นหลังจากที่ได้มีการแจ้ง
                    สิทธิแล้วก็สามารถรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้







                                                                                                          19

                                                                       สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
                                                      กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24   25