Page 23 - สิทธิในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง กรณีการนำตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
P. 23

๔)  การประชุมคณะอนุกรรมการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านกฎหมายและ
                 การปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรม ครั้งที่ ๑๐/๒๕๕๔ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๔


                               ผู้แทนสื่อมวลชน  ให้ข้อมูลและข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับ
                 สารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน สรุปได้ดังนี้

                               ในการทำาหน้าที่สื่อมวลชนจะต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนและรอบด้าน เพื่อให้

                 ประชาชนผู้รับสื่อได้วินิจฉัยและวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งหากได้ข้อมูลรอบด้านก็จะทำาให้ประชาชน
                 สามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตาม การที่จะได้ข้อมูลที่ถูกต้องและรอบด้านนั้น

                 จะต้องปฏิบัติอยู่ภายในกรอบ ๒ ส่วน คือ  ๑. กรอบของกฎหมายที่จะต้องปฏิบัติตาม (ซึ่งรวมถึง
                 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ด้วย)  และ ๒. กรอบของจริยธรรม ซึ่งมีการ

                 กำาหนดจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพเช่นเดียวกับผู้ประกอบวิชาชีพอื่นๆ เช่น ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรม
                 แห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ เป็นต้น ซึ่งผู้ที่ปฏิบัติงานด้านสื่อมวลชนนั้นจะมีทั้งผู้ที่เรียนจบทางด้านสื่อสาร

                 มวลชนโดยตรงและผู้ที่ไม่ได้เรียนจบทางด้านสื่อสารมวลชน โดยผู้ที่ไม่ได้เรียนจบทางด้านสื่อสารมวลชน
                 มีบางคนที่พยายามที่จะศึกษาเกี่ยวกับข้อบังคับจริยธรรมแห่งวิชาชีพหนังสือพิมพ์ และบางคนก็ไม่ได้

                 สนใจในเรื่องนี้  ซึ่งบางคนที่ทราบเกี่ยวกับข้อบังคับฯ แล้ว แต่การกระทำาที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
                 ก็ยังมีปรากฏอยู่

                               ประเด็นที่ ๑  เหตุผลและความจำาเป็นในการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้

                 ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ซึ่งพนักงานสอบสวนเป็นผู้แถลงข่าว
                 โดยอาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น เป็นการแถลงผลงาน หรือเป็นการผูกมัดตัวผู้ต้องหาเพื่อเป็นพยาน

                 ในชั้นศาล หรืออาจเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ตำารวจไม่สามารถหาพยานหลักฐานอื่นมาประกอบเพื่อ
                 ยืนยันการกระทำาความผิดของผู้ต้องหาได้ เป็นต้น

                               ประเด็นที่ ๒  ผลกระทบจากการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบ
                 คำารับสารภาพและการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ในมิติสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม

                 ซึ่งเห็นว่า ทำาให้เกิดผลกระทบมากมาย เช่น กระทบต่อความเป็นอยู่ส่วนตัวของผู้ต้องหา และเป็นการ

                 กระทำาที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ  เนื่องจากรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๙
                 วรรคสอง และวรรคสาม บัญญัติว่า  “ในคดีอาญา ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ต้องหาหรือจำาเลยไม่มี
                 ความผิด ก่อนมีคำาพิพากษาอันถึงที่สุดแสดงว่าบุคคลใดได้กระทำาความผิด จะปฏิบัติต่อบุคคลนั้นเสมือน

                 ผู้กระทำาความผิดมิได้”  ซึ่งในบางรายมีการระบุข้อมูลเกี่ยวกับภูมิหลัง โดยสื่อมวลชนได้ลงข้อความ

                 ตามที่ได้รับจากเจ้าหน้าที่ตำารวจ ทำาให้ในบางครั้งสื่อมวลชนอาจจะยังไม่ได้มีการตรวจสอบข้อมูล
                 ดังกล่าว ส่งผลให้สื่อมวลชนถูกฟ้องร้องดำาเนินคดี โดยสื่อมวลชนต้องรับผิดชอบข้อความที่ได้ลงในสื่อ

                               โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่า การกระทำาของเจ้าหน้าที่ตำารวจที่มีการนำาเสนอข้อมูล
                 ซึ่งอาจทำาให้ผู้ต้องหาได้รับความเสียหายในเรื่องของเกียรติยศ ชื่อเสียง นั้น  ตามประมวลกฎหมายอาญา

                 มาตรา ๑๕๗  บัญญัติว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิด




            22

            สิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิของบุคคลในเกียรติยศและชื่อเสียง
            กรณีการนำาตัวผู้ต้องหาในคดีอาญาไปนำาชี้ที่เกิดเหตุประกอบคำารับสารภาพ และการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
   18   19   20   21   22   23   24   25   26   27   28