Page 106 - ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายและข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ : เล่ม 2 ระหว่าง มกราคม - มิถุนายน 2558
P. 106

104   ประมวลรายงานผลการพิจารณาเพื่อเสนอแนะนโยบายหรือข้อเสนอในการปรับปรุงกฎหมาย และกฎ
                  ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ  เล่ม ๒  ระหว่าง มกราคม – มิถุนายน ๒๕๕๘


                                     ๒.๖)  กฎหมายแรงงานของประเทศไทยแยกออกเป็น ๒ ฉบับ เพื่อใช้กับแรงงาน

               ภาคเอกชน และรัฐวิสาหกิจ และกำาลังจะมีเพิ่มอีก ๑ ฉบับ สำาหรับบังคับใช้กับข้าราชการซึ่งเห็นว่า สามารถใช้
               กฎหมายฉบับเดียวแล้วค่อยแบ่งเป็นหมวดหมู่สำาหรับคนทำางานแต่ละกลุ่ม  ขณะนี้องค์การพัฒนาเอกชนด้าน

               แรงงานได้ไปยื่นหนังสือต่อประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติเพื่อขอให้ระงับการแก้ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ
               แรงงานสัมพันธ์ฯ และร่างพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯ เพราะยังไม่ได้มีการทำาประชาพิจารณ์
               และได้เสนอร่างพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ (ฉบับบูรณาการแรงงาน) แล้ว

                                     ๒.๗)  สิทธิในการรวมตัวและก่อตั้งสหภาพแรงงานครอบคลุมแรงงานข้ามชาติที่เข้ามา

               ทำางานในประเทศไทย  แม้ว่ายังไม่ได้รับการพิสูจน์สัญชาติ  แรงงานตามแนวตะเข็บชายแดนและแรงงาน
               ตามฤดูกาล ข้าราชการทุกประเภท ซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ ให้สิทธิข้าราชการ
               ในการจัดตั้งสหภาพแรงงานแต่ยังไม่มีกฎหมายลำาดับรอง  ข้อดีของการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงาน

               ระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๘๗ และฉบับที่ ๙๘ ได้แก่ ส่งเสริมเสรีภาพในการรวมกลุ่มและการเจรจาต่อรอง
               ส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศไทย  ทำาให้มีการแก้ไขกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับอนุสัญญาทั้งสองฉบับ

               ทำาให้การปิดงานของนายจ้างและการนัดหยุดงานของลูกจ้างลดลง  ลูกจ้างได้รับความคุ้มครองจากการถูกเลิกจ้าง
               คุ้มครองไม่ให้มีการแทรกแซงจากภาครัฐ  ในระยะยาวจะมีการแบ่งปันผลประโยชน์ที่เป็นธรรม ลดช่องว่างทาง
               รายได้และแรงงานนอกระบบจะมีองค์กรที่เข้ามาดูแล  ถ้าหากมีการจัดตั้งสหภาพได้จะทำาให้ลูกจ้างสามารถเข้าไป

               ตรวจสอบนายจ้างได้เป็นการถ่วงดุลระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง

                                     ปัจจุบันประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ๒ ฉบับ คือ พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์
               พ.ศ. ๒๕๑๘  และพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓  เห็นว่า ควรรวมเป็นกฎหมาย
               ฉบับเดียวกัน  การแก้กฎหมายภายในก่อนจะใช้เวลานาน ควรเข้าเป็นภาคีไปก่อน



                                 ๓) น�ยโกวิทย์ บุรพธ�นินทร์ ให้ความเห็น ดังนี้

                                     ๓.๑)  หลักการสำาคัญของอนุสัญญา ILO ฉบับที่ ๘๗ และฉบับที่ ๙๘ คือ การเคารพ
               เสรีภาพในการสมาคมและสิทธิในการรวมตัว การไม่แทรกแซง การเคารพผลประโยชน์องค์กรนายจ้างหรือลูกจ้าง

               ถ้าประเทศไทยมีกฎหมายภายในที่เทียบได้กับอนุสัญญาทั้งสองฉบับดังกล่าว ก็ไม่จำาเป็นต้องเข้าเป็นภาคี เช่น
               สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีกฎหมายภายในที่ให้สิทธิมากกว่าอนุสัญญาทั้งสองฉบับอยู่แล้ว  สิ่งที่ประเทศไทยกังวล คือ

               การใช้สิทธินัดหยุดงานและการจัดกิจกรรมขององค์กรลูกจ้างและนายจ้างนั้น  เห็นว่า การใช้สิทธินัดหยุดงาน
               ไม่ใช่สิทธิเด็ดขาด  ในบางอาชีพ เช่น ตำารวจ สามารถห้ามไม่ให้นัดหยุดงานได้แต่ต้องมีกลไกในการแก้ไข
               ข้อขัดแย้งในทันที และไม่น้อยกว่ากลไกที่ใช้กับแรงงานภาคเอกชน คณะกรรมการว่าด้วยเสรีภาพของการสมาคม

               (Committee on Freedom of Association : CFA) เห็นว่า กรณีที่มีการประกาศกฎอัยการศึก หรือสถานการณ์
               ฉุกเฉินสามารถห้ามนัดหยุดงานได้  แต่ต้องกำาหนดเวลาและพื้นที่แน่นอน  ส่วนการจัดกิจกรรมขององค์กรลูกจ้าง

               และนายจ้าง องค์การแรงงานระหว่างประเทศมีหลักการการจัดกิจกรรมขององค์กรดังกล่าวเพื่อประโยชน์นายจ้าง
               และลูกจ้าง  การห้ามจัดกิจกรรมถือว่าละเมิดต่ออนุสัญญาฯ ฉบับที่ ๘๗  และเห็นว่า ประเทศไทยอาจเข้าเป็น
               ภาคีอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับที่ ๙๘ ซึ่งเน้นเรื่องการเจรจาต่อรองก่อน เนื่องจากมีกฎหมาย

               ภายในรองรับ
   101   102   103   104   105   106   107   108   109   110   111