Page 50 - รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง เพื่อปรับปรุงแก้ไขนโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินและป่า
P. 50
สํานักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงชาติ
National Human Rights Commission of Thailand
ซึ่งมักถูกกลาวหาวาเปนตนเหตุของปญหาการลดลงของพื้นที่ปาไม เชน ในป พ.ศ. 2533 กรมปาไมไดรวมกับ
หนวยงานภาครัฐอื่น ๆ โดยเฉพาะอยางยิ่งกับกองทัพบก (กองอํานวยการรักษาความมั่นคงภายใน) ดําเนินโครงการ
จัดสรรที่ดินทํากินแกราษฎรผูยากไรในพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรม หรือที่รูจักกันในนาม “คจก.” โดยมีการอพยพ
ชาวบานที่อาศัยอยูอยางกระจัดกระจายในเขตปาตนนํ้าใหมาอยูรวมกันในเขตพื้นที่ปาสงวนเสื่อมโทรม
และมีความเปราะบางทางระบบนิเวศ ทั้งนี้ ทางโครงการวางแผนที่จะดําเนินการกับราษฎรที่อยูในเขตปาทั่วประเทศ
โดยไดริเริ่มการดําเนินโครงการที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเปนพื้นที่แรกในพื้นที่อพยพทางโครงการฯ ไดจัดตั้ง
ระบบหมูบานและจัดสรรที่อยูอาศัยและที่ดินทํากินใหกับเกษตรกรในพื้นที่เปาหมายและเมื่ออพยพชาวบาน
ออกไปแลว ทางกรมปาไมและหนวยงานที่เกี่ยวของไดทําการปลูกปาเพื่อฟนฟูระบบนิเวศตนนํ้าโดยไมไดคํานึงวา
การอพยพชาวบานออกจากพื้นที่ตนนํ้า นอกจากไมนําไปสูการฟนฟูและรักษาพื้นที่ปาไมแลว ยังนําไปสูความขัดแยง
ระหวางเจาหนาที่ของรัฐและชาวบานที่อาศัยอยูในเขตปาอีกดวย
อยางไรก็ดี มีการโตแยงจากนักวิชาการทั้งไทยและตางประเทศในเรื่องขอกลาวหาของรัฐที่วา “ชาวบาน
ทําลายปา” นักวิชาการกลุมนี้พยายามชี้ใหเห็นถึงความสลับซับซอนของปญหาการทําลายปา ซึ่งมีขอสรุปรวมกันวา
สาเหตุสําคัญของปญหาความเสื่อมโทรมของทรัพยากรปาไมสืบเนื่องจากนโยบายการพัฒนาของรัฐที่มุงเนน
การผลาญทรัพยากรและการรักษาความมั่นคงของชาติ การลดลงของพื้นที่ปาจึงเกี่ยวของโดยตรงกับการพัฒนา
เศรษฐกิจการเมืองและสังคม แตดูเหมือนวาขอโตแยงดังกลาวไมไดนําไปสูการทบทวนและสรางนโยบายปาไม
ที่เอื้อประโยชนตอชาวบานเทาไรนัก
นโยบายการจัดการปาของไทยยังคงเนนการอนุรักษและคุมครองความหลากหลายทางชีวภาพ
โดยยังคงมองชาวบานเปนศัตรูสําคัญของทรัพยากรปาไมในชวงปลายทศวรรษ 2520 คณะรัฐมนตรีมีมติผานนโยบาย
ปาไมแหงชาติ พ.ศ. 2528 ซึ่งกําหนดใหประเทศควรมีพื้นที่ปาไมอยางนอยรอยละ 40 ของพื้นที่ประเทศ
โดยแบงเปนพื้นที่ปาอนุรักษรอยละ 25 และอีกรอยละ 15 เปนพื้นที่ปาเศรษฐกิจ เพื่อบรรลุนโยบายดังกลาว
กรมปาไมในฐานะหนวยงานที่รับผิดชอบไดดําเนินยุทธศาสตรอยางนอย 2 ยุทธศาสตรหลักไดแก 1) การเรงประกาศ
พื้นที่อนุรักษ ซึ่งรวมถึงพื้นที่อุทยานแหงชาติและเขตรักษาพันธุสัตวปา และ 2) การสงเสริมใหภาคเอกชนเขามา
ลงทุนปลูกสรางสวนปาขนาดใหญโดยเฉพาะสวนปายูคาลิปตัส ซึ่งยุทธศาสตรทั้งสองของกรมปาไมนําไปสู
ความขัดแยงกับชาวบานในพื้นที่ปาซึ่งอาศัยปาในการดํารงชีพตัวอยางที่สําคัญและเปนกรณีศึกษาของผูเขียน
ไดแก กรณีความขัดแยงระหวางชาวบานหวยแกว ตําบลหวยแกว อําเภอแมออน จังหวัดเชียงใหมกับนักธุรกิจ
ในทองถิ่น โดยกรมปาไมอนุญาตใหนักธุรกิจเชาพื้นที่ปาสงวนแหงชาติจํานวน 235 ไรเพื่อทําการปลูกสรางสวนปา
ซึ่งพื้นที่ดังกลาวเปนพื้นที่ที่ชาวบานหวยแกวอางวาเปนพื้นที่ตนนํ้าลําธารแหลงเก็บหาของปาและพื้นที่เลี้ยงสัตวของ
ชุมชน ดังนั้น พวกเขาจึงตอตานการเชาที่ดินของเอกชนจากรัฐและกลายเปนปญหาความขัดแยงในที่สุด นอกจากนี้
การเรงประกาศพื้นที่อนุรักษที่ขาดการปรึกษาหารือกับชาวบานและหนวยงานที่เกี่ยวของในระดับทองถิ่น
อยางเหมาะสมทําใหเกิดปญหาการซอนทับระหวางพื้นที่ทํากินของชาวบานกับพื้นที่อนุรักษจากการประเมิน
ของ ICEM (2003) พบวา มีชาวบานติดอยูในเขตปาของรัฐโดยเฉพาะในเขตพื้นที่ปาอนุรักษไมนอยกวา
500,000 คน
รายงานการศึกษาวิจัย เรื่อง “เพื่อปรับปรุงแกไข 29
นโยบายกฎหมายที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนดานที่ดินและปาไม”